ปปช. อ้าแขนรอรับเรื่องทุจริตฉาวสุวรรณภูมิเข้าสู่การพิจารณา ระบุ “สะพรั่ง” ควรออกมาสร้างความกระจ่างและต้องพร้อมตอบคำถามทุกเรื่องราว ขณะที่ “วีระ สมความคิด” รับบทกาวใจ เผยโทรคุยสะพรั่งแล้ว เจ้าตัวอ้างถูกใส่ร้าย ขณะที่ค่ายผู้จัดการยังหาคนเขียนข่าวไม่เจอ สมาพันธ์ประชาธิปไตยเชื่อ ต้นตอข่าวอาจมาจากความขัดแย้งในคมช. เตรียมชงเรื่องเข้าที่ประชุมเพื่อเตรียมขับเคลื่อนกระบวนการตรวจสอบต่อไป
ปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในการบริหารสนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งเรื่องของข้อกล่าวหาว่ามีการทุจริตคอรัปชั่นมูลค่ามหาศาล และรายได้ที่ตกต่ำลงอย่างมากในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การบริหารงานของคณะกรรมการที่มี พล.อ.สะพรั่ง กัลยาณมิตร เป็นประธาน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) นั้น
ส่งผลให้บรรดาผู้ถือหุ้นมีการเคลื่อนไหวแสดงความไม่พอใจ และอาจจะมีการรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากรรมการบริษัทฯ และขณะเดียวกันก็มีการตั้งข้อสังเกตุจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์ ว่าในช่วงที่ พล.อ.สะพรั่ง เข้ามาบริหารงาน มีความไม่โปร่งใสเกิดขึ้นหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการจัดจ้างบริษัทเข้ามาบริหารโรงแรมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สัญญาเช่ารถลิมูซีน การให้สัมปทานประกอบการเชิงพาณิชย์ในบริเวณศูนย์ขนส่งสาธารณะโดยไม่มีการประมูล โครงการกำจัดขยะ โครงการให้บริการระบบไฟฟ้า 400 HZ
นอกจากนี้ก็ยังมีการตั้งข้อสังเกตุถึงการนำเสนอข่าวของ น.ส.พ.ผู้จัดการ ด้วยว่าเกิดจากเหตุผลใด เพราะก่อนหน้านี้ปรากฎเป็นข่าวทั่วไปว่า พล.อ.สะพรั่ง และนายสนธิ ลิ้มทองกุล เจ้าของ น.ส.พ.ผู้จัดการ มีความสนิทสนมและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
จากกรณีความไม่ชอบมาพากลดังกล่าว นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริต(ปปช.) กล่าวว่าประเด็นดังกล่าวก็พอที่จะทราบบ้างแล้วจากสื่อ แต่ตามหลักการตรวจสอบของ ปปช. จะต้องมีการร้องเรียนจากผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ที่ทำการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว เพื่อที่จะได้ทำการตรวจสอบตามกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่ง น.ส.พ.ผู้จัดการที่นำเสนอข่าวนร้ หากมีหลักฐานพร้อมก็สามารถนำมาร้อวงเรียน เพื้อให้ ปปช. ดำเนินการต่อไปได้
นอกจากนี้ในเบื้องต้น ปปช. ยังไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมด จึงยังไม่สามารถคาดคั้นเอาโทษจากใครได้ ซึ่งหากมีการแจ้งเบาะแส และเอกสารหลักฐานเพื่อชี้มูลความผิด และทางปปช.พิจารณาแล้วว่าเข้าข่ายการทุจริตจริง ก็ต้องดำเนินการตรวจสอบตามระเบียบแน่นอน
อย่างไรก็ดี พล.อ.สพรั่ง เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง สมควรที่จะสร้างความกระจ่างและต้องพร้อมที่จะชี้แจงและพร้อมที่จะให้ ปปช. ทำการตรวจสอบ หากกรณีที่ถูกพาดพิงและมีการฟ้องร้องจากคู่กรณี ไม่ว่าจะเป็นบัญชีทรัพย์สินหรือเอกสารใดๆ เจ้าหน้าที่ของเราก็พร้อมที่จะตรวจสอบ
ส่วนนายสัก กอแสงเรือง โฆษกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ไม่ใช่หน้าที่ของคตส. เนื่องจากคตส.หมดอายุการทำงานแล้ว รวมทั้งปฏิเสธที่จะตอบคำถามด้วยว่าเรื่องดังกล่าวควรจะมีการดำเนินการอย่างไร โดยกล่าวเพียงว่า “ผมไม่ทราบ..ผมไม่รู้”
ทางด้าน นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชชนต้านคอรัปชั่น กล่าวว่าหลังจากอ่านข่าวได้โทรศัพท์ไปหา พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิต เพื่อสอบถามถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยพล.อ.สพรั่ง ระบุว่าอยากจะชี้แจงเหมือนกัน เพราะเองถูกกลั่นแกล้ง ถูกใส่ร้าย จากคนที่ไม่หวังดี
โดยพล.อ.สพรั่งกล่าวกับตนว่า หากรวบรวมข้อมูลด้านเอกสารหรือหลักฐานในกรณีดังกล่าวแล้ว จะทำการติดต่อตนเองเพื่อที่จะได้พิจารณาหลักฐาน ซึ่งหากตนเห็นแล้วว่า พล.อ.สพรั่งเข้าข่ายมีความผิดจริง ก็จะนำเรื่องดังกล่าวเสนอฟ้องต่อปปช.ต่อไป
อย่างไรก็ตามตนได้ติดต่อไปยังเวปไซด์ผู้จัดการเช่นกัน โดยผ่านผู้สื่อข่าวที่รู้จักมักคุ้น ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็คือ ขณะนี้ยังไม่มีใครทราบว่า ใครคือผู้เขียน และมีหลักฐานอะไรที่บ่งชี้ว่าพล.อ.สพรั่งผิด จึงประสานว่า หากใครมีหลักฐานในข้อมูลเอกสารที่เปิดโปงดังกล่าวก็ช่วยส่งมอบมา เนื่องจากจะทำการดูข้อมูลดังกล่าวอย่างระเอียดก่อนพิจารณาฟ้องชี้ความผิด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การกระทำเช่นนี้ไม่กลัวว่าจะถูกมองว่าเป็นกาวใจ หรือเป็นคนสนิทกับพล.อ.สพรั่ง หรือไม่ นายวีระกล่าวว่า คนเราทำอะไรก็รู้ตัวเองอยู่ ผมไม่กลัวว่าใครจะมองอย่างไร ผมเห้นข่าวแล้วรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจมาก จึงจำเป็นต้งอติดต่อไปทั้งสองฝ่าย
“เรื่องนี้น่าสนใจ เพราะพล.อ.สพรั่ง ได้รับสมยานามว่าวีรบุรษ แต่กลับมีเรื่องทุจริตพัวพัน ก็ต้องเป็นที่น่าสนใจอยู่แล้ว นอกจากนี้ถ้าหากเป็นจริง ก็ต้องมีการกระชากหน้ากากมา จะปล่อยให้ลอยนวลไม่ได้ พล.อ.สพรั่งไม่ใช่บุคคลที่ต้งอมีการละเว้น” นายวีระกล่าว
ส่วน นพ.เหวง โตจิรากร กล่าวว่าเหตุที่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการออกมาเสนอข่าวอย่างนั้น เป็นเพราะว่า พล.อ.สพรั่ง ไม่เข้าร่วมประชุม คมช. ตั้งนานแล้ว ไม่เคยเข้าร่วมประชุมเลยก็ว่าได้ ซึ่งภายใน คมช.ก็มีการทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างรุนแรง ซึ่งอาจเป็นปัญหาอำนาจและผลประโยชน์ และคงเป็นเรื่องธรรมดา
ฉะนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้จึงมีการต่อต้านกันอย่างรุนแรง ต่างฝ่ายต่างต่อสู้กัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เห็นก็คือเรื่องของอำนาจต่างๆ ส่วนจะจริงเท็จแค่ไหนไม่ทราบ แต่อาจเป็นเพราะสงครามที่เกิดขึ้นระหว่าง คมช.กันเองก็ได้
ส่วนความไม่ชอบมาพากลที่เป็นข่าวนั้น เราต้องมีการประชุมกันก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะว่าไม่สามารถทำอะไรโดยเอกเทศ ดังนั้นเรื่องนี้จึงต้องนำเข้าที่ประชุมก่อน ส่วนที่ประชุมจะมีความเห็นอย่างไรก็ต้องว่าตามนั้น
เมื่อถามว่าบอร์ดและกรรมการจะต้องมีความรับผิดชอบอย่างไรบ้าง นพ.เหวง กล่าวว่า ในชั้นต้นอยากเห็นบอร์ดและกรรมการออกมาชี้แจงต่อสาธารณชนก่อนว่ามีข้อเท็จจริงที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องอย่างไร ถ้าไม่มาชี้แจงก็จะทำให้ความเข้าใจที่มีต่อกรรมการต่างๆเป็นไปในทางลบ จะไม่เป็นผลดี ฉะนั้นกรรมการต้องออกมาชี้แจงโดยด่วย จะเงียบอยู่ไม่ได้
นพ.เหวง กล่าวอีกว่า แม้รัฐบาลชุดใหม่จะมีงานเยอะก็จริงแต่ว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นอันดับแรกๆที่จะเข้าไปตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นในทั้ง 2 องค์กรดังกล่าว ควรรีบเข้าไปตรวจสอบดูว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก้ดำเนินการไปตามกฎหมาย