WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, February 5, 2008

บทวามคุณทวีวุฒิ จุลวัจนะ : ถึงเวลา “เข้าแถว” รายงานตัว

โดย คุณทวีวุฒิ จุลวัจนะ
ที่มา เวบไซต์
Thai Journalist Democratic Front
4 กุมภาพันธื 2551

ก็ถึงเวลาเข้าแถวรายงานตัว “ทำงาน” เพื่อประชาธิปไตยกัน “อีกรอบแล้ว”

ถ้ามองจากการรายงานของหัวกระทิด้านประชาธิปไตยหลายๆ คน เช่น พี่อาคม อาจารย์พิชิต และนักคิดนักเขียนด้านประชาธิปไตยอีกเป็นสิบ แต่ละท่านก็มีมุมมองแตกต่างกันไปบ้าง และส่วนมากก็มีข้อเสนอแนะว่า พวกเรานักประชาธิปไตยควรจะทำอะไรต่อไป พี่อาคมถึงขนาดมีข้อเสนอแนะให้รัฐบาลสมัครทำเป็นข้อๆ เลย แต่สาเหตุหลักจริงๆ ของการออกมาเรียกร้องให้เข้าแถวกันอีกที ก็เพราะ “ป๋า” นั้น ยิ่งศึกษาให้ลึกลงไป ยิ่งน่ากลัวและเกรงขามยิ่งนัก คือเส้นสายนั้นโยงใยไปในสังคมไทย “ทุกภาคส่วน” แบบ “ลึกล้ำจริงๆ” คือ นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยานี้ ไม่มีเค้าว่าจะ “ตายไปหรือยอมแพ้” แก่พลังของประชาชนเลย ก็คือ เพียงแต่รอแต่จังหวะในการ “รุกกลับ” เท่านั้น

ฉะนั้นในการวิเคราะห์ “ป๋า” ก็มีอยู่สองสามส่วนหลัก คือ

แรกเลย ต้องศึกษาเค้าโครงอำนาจของป๋าให้กระจ่าง จะได้เข้าใจว่า ป๋า จะ “ปล่อยหมัดอะไรออกมา”

สอง พวกเราต้องเข้าใจในตัวเราเองให้มากว่า จุดอ่อนของพวกเราคืออะไร เพราะจุดนั้นคงจะเป็นจุดที่ป๋าเล็ง หรือหาอยู่ เพื่อที่จะโจมตี

สาม เราต้องเข้าใจสมรภูมิรบให้ดี ที่มันห้อมล้อมและกำหนด ยุทธวิธี การปะทะและต่อสู้ ระหว่างทั้งสองฝ่ายอยู่

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยของจังหวะ ที่ต้องคอยคำนึงถึง สุดท้ายแล้ว ก็ต้องคอยสอดส่องว่าจุดอ่อนของป๋าคืออะไร เพราะอย่างที่ผู้ชนะมักพูดเสมอ “การรุกคือการตั้งรับ” ที่ดีที่สุด

สำหรับเส้นสายทั่วทุกสารทิศ ที่โยงใยออกมาจากป๋า พี่อาคมก็เคยเปิดเผยมาแล้วเป็นชุดๆ คือเข้าไปลึกมากใน ด้านการทหาร ด้านการยุติธรรม และ ด้านการศึกษา นอกจากนี้ ในด้านการเมือง ยังมีพรรค ปชป. องค์กรอิสระ และ รธน. ปี 50 อีก


ส่วนในภาคเอกชน ก็มีผู้ประกอบการ เอกชนในบางอุตสาหกรรม เช่น ธนาคาร และ กลุ่มฮั้ว และอื่นๆ อีกมาก ที่พี่อาคมเขียนมาให้ดู และสุดท้าย ก็แบบ Made Man ของ Godfather หรือ ตัวแทน มาเฟีย เป็นมาเฟียตัวเล็กๆ ทั่วไทย ที่ได้รับการค้ำจุน จากระบบอำมาตย์ ที่แฝงตัวอยู่ในแทบทุกภาคส่วนของสังคม

ส่วนด้านตัวพวกเราเอง หรือนักประชาธิปไตย จุดอ่อนที่ใหญ่ๆ ก็มีอยู่หลายส่วน


แรกเลยคือ ทหารที่มาปักธงร่วมกับเราในการยึดประเทศสำหรับประชาธิปไตย คือ เป็นทหารรับจ้าง ที่เข้ามาร่วมรบกับเราตอนนี้ ก็ด้วยอุดมการณ์ที่ไม่เหมือนเรา

ส่วนที่สองคือ เรากำลังรบอยู่กับคนบ้าหลายคน ที่เป็นซากศพไปแล้ว แต่ยังไม่รู้ตัว เช่น สดศรี และ ผู้พิพากษาหลายคนในหลายระดับ ที่พร้อมจะเห็นไทยลุกเป็นไฟ แต่พวกเรานักประชาธิปไตย ยังกล้าๆ กลัวๆ กับการให้เรื่องเดินไปถึงสิ่งนี้ คือพวกอำมาตย์พร้อมมากกว่าเรา ที่จะเห็นศพบนถนนและสถานที่ราชการถูกเผา

นอกจากนั้นแล้ว ถึง Momentum มันจะอยู่กับฝ่ายประชาธิปไตย แต่เราก็รบจากศูนย์มากันนานมากแล้ว มันก็ต้องอ่อนล้าและรู้สึกเหนื่อยเป็นธรรมดา แล้วในสงครามใหญ่ คือใต้ดิน ดูเหมือนว่าฝ่ายประชาธิปไตยจะมีจุดแข็ง ก็คือ Hi-Thaksin เท่านั้น ที่มีเส้นสายเอาความลับต่างๆ มาเปิดเผย แต่โดยรวมแล้ว ถ้าเทียบกับอำนาจทำสงคราม “ใต้ดิน” ของอำมาตย์ ฝ่ายเราแทบจะไม่เคย “รุก” ได้เลย สุดท้ายแล้ว มือไม้เราถูกมัดอยู่มากพอดู เพราะต้องคำนึงถึงความรู้สึกของคนไทยทุกคน และสื่อที่เอนเอียงมาก ในขณะที่อำมาตย์ มีเอกภาพในด้านยุทธวิธีมาก เพราะไม่เคยคำนึงถึงใครเลยนอกจากฝ่ายตัวเอง

สมรภูมิรบในไทยระหว่างอำมาตย์ และนักประชาธิปไตย สรุปได้ง่ายๆ คือ การวางแต่ละหมากของฝ่ายประชาธิปไตย มีข้อจำกัดมาก จนยากที่จะผันสมรภูมิมาเป็นข้อได้เปรียบ ส่วนอำมาตย์นั้น ข้อจำกัด หรือ Conditions น้อยมากในการเคลื่อนไหว


ส่วนสมรภูมิจริงๆ แล้วมันก็คือ เศรษฐกิจโลกและไทย แน่นอนว่าการคุมธนาคารและการเงินของอำมาตย์ชิ้นใหญ่ๆ ไว้หลายชิ้น ทำให้มีความเสี่ยงมาก คืออำมาตย์สามารถทำลายเศรษฐกิจ เพื่อทำลายพลังของประชาชน

ส่วนในประเทศนั้น “ชนชั้นนำ” ของประเทศ ไม่ได้เกาะกลุ่มกันเข้าข้างอำมาตย์มากเท่าที่คิดกัน และนักประชาธิปไตยหลงทางไปเข้าข้างอำมาตย์ ถึงจะมาก เช่น เจิมสัก และพันธมิตร แต่การที่สมัครเอียงขวามาอย่างยาวนาน ก็ลดจุดอ่อนในสมรภูมิรบที่เปิดกว้างแต่ก่อนให้โจมตีได้ ลงไปมากพอดู ในเรื่องสถาบัน และ ศาสนา แต่ถึงแม้ว่าฝ่ายประชาธิปไตย ไม่เชื่อถือ ระบบยุติธรรมไทยและ คตส.

ปัญหาคือทักษิณ และแกนนำฝ่ายประชาธิปไตย ยังมี “ชนักทางกฎหมาย” ติดหลังกันอยู่หลายคน ที่อาจจะถูก “เด็ด” ออกง่ายๆ โดยสังคมในส่วนของอำมาตย์ และคนกลางๆ บางส่วน อาจจะยอมรับ

นอกจากนี้ เพราะนโยบายประชานิยมของฝ่ายประชาธิปไตย ฐานที่มั่นของฝ่ายเราจะแข็งขึ้นอีกมาก และแน่นอน แพร่กระจายออกไปมากขึ้น คือเราสามารถ Solidify Positions ได้ดีกว่า สรุปในด้านสมรภูมิและกลยุทธ อำมาตย์และป๋า เปรียบเสมือน “กองโจร” ที่มีอาวุธร้ายแรง สามารถคว่ำฝ่ายประชาธิปไตยได้ และฝ่ายประชาธิปไตยเปรียบเสมือน “กองทัพใหญ่” ก็แน่นอนว่า ถ้าไม่โดนอาวุธร้ายแรง และถูกแบ่งแยกเป็นกองทัพเล็กๆ ในศึกหลายๆ ด้าน ฝ่ายประชาธิปไตย ก็มั่นคงพอดู คือ
อย่าลืมโดยเด็ดขาด ป๋านั้นถนัดที่สุดเรื่อง “แบ่งแยกแล้วปกครอง”

สุดท้ายแล้ว ในการ “รุก” หรืออย่างน้อยก็จำกัดความเสียหายที่อำมาตย์และป๋า จะสามารถทำให้ชาติได้ ด้วยการทำลายประชาธิปไตยและพลังของประชาชน ก็มีแบบพี่อาคมเขียนมาให้ดูเป็นข้อๆ หรือจะเป็นอาจารย์พิชิตที่เขียนถึงภารกิจต่อไปของนักประชาธิปไตย สิ่งเหล่านี้ก็น่ารับฟังทั้งสิ้น ส่วนจุดอ่อนที่ใหญ่ๆ ของป๋า ก็คือตำแหน่งองคมนตรี ที่เสียไปไม่ได้เลย และธรรมชาติของชีวิตข้าราชการ คือขยับขึ้นกันตลอดเวลา เป็นแผงๆ จนฐานที่ป๋าวางเอาไว้ ก็ต้องหมดไปและเปลี่ยนไป จนจุดสมดุลที่ป๋าคุมอยู่ แตกแยกออกเป็นธรรมดา ยิ่งขั้วเปลี่ยนขนาดนี้ มาเป็นบ้านเมืองของนักประชาธิปไตย เสถียรภาพของทหารในอานัดของป๋านั้น กำลัง “สั่นคลอน” เป็นอย่างมาก คือกองโจรของป๋า กำลังระส่ำระสาย


สุดท้ายแล้วจุดอ่อนที่สุดของอำมาตย์ ก็คือสมรภูมิใหญ่ที่สุด คือ “โลก” ที่หมุนเข้าหาประชาธิปไตย ออกจากระบบอำมาตย์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสื่อต่างชาติที่สำคัญๆ เข้าข้างนักประชาธิปไตยไทยเป็นทุกอันไป

ถ้าจะให้สรุป ก็คือ ฝ่ายประชาธิปไตยจริงๆ แล้วตอนนี้ มีอยู่สองจุดยืน คือพวกที่มีความเห็นว่าต้องรุก เพราะปล่อยให้ป๋ามีอำนาจต่อไป อันตรายมาก ฝ่ายที่สองคือ สมานฉันท์ กับป๋าและอำมาตย์ เพราะไม่ต้องการ “ต้อนหมาบ้าเข้ามุม” จนมันต้องออกมากัดแหลกแบบยอมตาย


ถ้าถามผม ผมว่าเตรียมพร้อมในการทำสงครามรอบใหม่ไว้ให้ดีดีกว่า เพราะถ้าฝ่ายประชาธิปไตย Lower Guard หรือไม่ระวังตัวให้เต็มที่ มันก็เหมือนเป็นการไปกระตุ้นให้ฝ่ายอำมาตย์และป๋า “รุก” เอาง่ายๆ

แต่ถ้าเขาเห็นฝ่ายประชาธิปไตยพร้อมรบ เขาอาจจะ “ยอมแพ้” ไปเอง และยอมรับว่า “เขาผิด” และในที่สุด “วางมือและอาวุธลงเอง”

จาก Thai E-News