พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้ช่วยเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวถึงกรณีที่มีการเปิดเผยข้อมูลการบริหารงานไม่โปร่งใส ในการทำหน้าที่ประธานบอร์ดการท่าอากาศแห่งประเทศไทย (ทอท.) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) “ทีโอที” ผ่านทางสื่อมวลชนของกลุ่มพันธมิตรเดิม ว่า ขณะนี้ได้ให้ฝ่ายกฎหมายของกรมพระธรรมนูญ ตรวจสอบดูว่าเข้าข่ายที่จะดำเนินการฟ้องร้องได้หรือไม่ หากเข้าข่ายก็จะดำเนินการทันที
ทั้งนี้ ที่ไม่ได้ออกมาตอบโต้ตั้งแต่แรก เพราะเห็นว่าในความเป็นสุภาพบุรุษของตนเอง จะทำให้บุคคลเหล่านี้เกิดความอายได้บ้าง แต่เมื่อมาถึงขณะนี้ทำให้รู้ว่าไม่ใช่ในสิ่งที่คิด จึงต้องสู้และสู้ทุกคนที่คิดว่าเป็นศัตรูกับชาติบ้านเมือง ซึ่งจะขอสู้หมดทุกคน
“ผมสั่งให้กรมพระธรรมนูญดำเนินการฟ้องร้องกับกลุ่มคนเหล่านี้แล้วจำนวน 100 ล้านบาท และเงินที่ได้จะนำไปให้การกุศลทั้งหมด สื่อมวลชนเห็นความบัดสีบัดเถลิงของพวกนี้หรือยัง บ้านเมืองจะฉิบหายเพราะคนชั่วพวกนี้ ถ้าจะโกงไม่ต้องมาเป็นประธานบอร์ดหรอก คนพวกนี้มันโง่ ชั่วช้าเลวทราม” พล.อ.สพรั่ง กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดสื่อของพันธมิตรถึงนำหลักฐานมาโจมตีในขณะนี้ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ให้ไปหาคำตอบกันเอาเอง ซึ่งพันธมิตรทั่วประเทศเข้าใจ อีกทั้งยังมีการโทรศัพท์มาให้กำลังใจ และเชื่อว่าสิ่งที่ตกเป็นข่าวนั้น เป็นการจับแพะชนแกะมีเป้าหมายสกปรก
สำหรับการระบุว่า บอร์ดทำให้กำไรขาดทุนถึง 90 เปอร์เซ็นต์เป็นเพราะอดีต ซึ่งเรากำลังประคองให้เข้มแข็ง แต่เขาพยายามจะบิดเบือนข่าวว่าเราเป็นคนทำ ข้อเท็จจริงนี้พนักงานรู้อยู่ว่า ใครคือคนที่ปกป้อง ใครไปทำชั่วไว้ก่อน ใครแอบผสมโรงปรารถนาลามกเขารู้หมด
“ผมยังไม่อยากพูดพฤติกรรมของคนเหล่านี้ เพราะไม่เคยคิดชั่ว เราเห็นว่าใครเลวก็อย่าเลวแบบเขาก็แล้วกัน ส่วนที่พูดกันว่า การนำหลักฐานมาโจมตีแสดงว่าไปขัดขวางผลประโยชน์ของใครนั้น คำถามก็คือคำตอบ อยู่ดีๆ เขาจะมาเขียนได้อย่างไร” พล.อ.สพรั่ง กล่าวอย่างดุดัน
ต่อข้อถาม ดูเหมือนว่าทุกอย่างที่ทำตลอดมา 1 ปี 4 เดือน เกิดการย้อนศรกลับมาหาตัวเอง พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ไม่ได้เป็นการย้อนศร แต่กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง หากใครรักชาติบ้านเมืองจริง คนที่รักผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ย่อมตอบได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อน ที่ตนจะเข้ามาดูแล และตอนที่ตนเข้ามาดูแลส่วนไหนที่ดี ส่วนไหนเป็นความผิดของใครมันชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแต่ข่าวสารที่นำเสนอ มีการนำมาประติดประต่อเอาตามความเห็น ตามบัตรสนเท่ห์ หรือตามคนเลวของบางคนมาเขียน
พล.อ.สพรั่ง กล่าวอย่างมั่นใจว่า ไม่เดือดร้อนในการนำเสนอของสื่อพันธมิตรเดิม แต่กลับสงสารประเทศชาติ เพราะหากคนเลวสามารถใช้สื่อได้ และสื่อไม่ช่วยกันตรวจสอบก็น่าเป็นห่วง ซึ่งลำพังตัวคนเดียวไม่เดือดร้อนอะไร เพราะพันธมิตรทั่วประเทศรักตนอยู่แล้ว
ส่วนจะจัดการกับคนเลวๆ เหล่านี้อย่างไรนั้น ก็ปล่อยให้ฟ้าลงโทษ และสิ่งที่เขาทำกรรมอะไรไว้ในอดีต ก็ขอให้ได้รับกรรมนั้นก็แล้วกัน และไม่เสียใจที่มีการใช้คำว่า “วีรบุรุษ” มาย้อนตน แต่จะสนใจในเจตนาของการนำเสนอมากกว่า
นอกจากนี้ ในเรื่องของการขัดผลประโยชน์ จะว่าขัดหรือไม่ก็ตาม หากสิ่งใดถูกต้อง ก็จะสนับสนุน สิ่งใดที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อชาติบ้านเมือง ก็จะเข้าไปขัดขวางยับยั้ง ป้องกัน และห้ามปราม ตามหลักการที่มีอยู่แล้ว อีกทั้งไม่รู้สึกกลัวกลุ่มคนเหล่านั้น เพราะไม่ได้ทำอย่างที่เขาเขียน และไม่กลัวว่าพันธมิตรจะเข้าใจผิด เพราะพวกเขาเข้าใจดี ตลอดจนการเก็บตัว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่จะต้องรู้จักมารยาทในการแสดงออก
ต่อข้อถามว่า หากบ้านเมืองเกิดวิกฤตการณ์พร้อมที่จะเข้ามาช่วยเหลือหรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า เป็นหน้าที่พลเมืองดีทุกคนที่จะต้องช่วยกันอยู่แล้ว รวมทั้งตนด้วยเช่นกัน
“หากจะถามความเห็นเกี่ยวกับการควบตำแหน่ง รมว.กลาโหม ของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ผมไม่ขอวิจารณ์ เพราะไม่เคยสู้กับใครแบบอันธพาล และไม่เคยสู้กับใครด้วยความรู้สึกอยู่กันคนละฝ่าย เพราะผมทำตามหน้าที่ที่จะต้องปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ไม่เกี่ยวกับเรื่องของการพิพากษาใคร” พล.อ.สพรั่ง กล่าวยืนยัน
พล.อ.สพรั่ง กล่าวถึงกรณีที่มีการพูดถึงการลงนามสัญญากับบริษัท เอไอเอส เกี่ยวกับสัญญาณ 3 จี ด้วยว่า ให้ไปถามทีโอทีจะดีกว่า เพราะสังคมจะได้รู้ว่าพนักงานในองค์นั้นก็รักองค์กรของตัวเอง ซึ่งคนที่ลงปรารถนาลามก เอาความดีใส่ตัว เอาความชั่วใส่คนอื่น คนอย่างนี้สังคมยังจะต้อนรับอีกหรือ ดังนั้น ตนจะไม่ยอมตกหลุมพรางคนเหล่านี้อย่างแน่นอน
ผู้สื่อข่าวถามด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์มาพูดบ้างหรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า “โอ้ย ผมไม่ได้ใหญ่โตขนาดที่ใครจะโทรศัพท์มาหา” ส่วนที่ถามกันว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ โทรศัพท์มาจะรับหรือไม่นั้น ให้เหตุเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยถามจะได้หรือไม่ เพราะตอนนี้ยังไม่เกิด และยังไม่มีใครโทรมาหาด้วย
อย่างไรก็ตาม หากมีการโทรศัพท์มาจริง ตนก็ไม่ใช่คนที่พูดจาไม่รู้เรื่อง และตนก็เป็นคนมีเหตุผลเพียงพอที่จะพิจารณาได้ ซึ่งสิ่งที่พูดคุยกันนั้นหากเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองก็จะต้องพูด แต่หากเป็นประโยชน์กับตนเองก็จะไม่ยอม
“ผมไม่ใช่บุคคลสำคัญที่จะต้องมาพูดคุยด้วย เราทำไม่ได้เพื่ออยากจะดัง แต่ทำตามหน้าที่ เมื่อหมดหน้าที่ก็ให้คนอื่นทำต่อ แต่ที่ผ่านมาผมภูมิใจ จึงอย่าให้ความภูมิใจของเราต้องหายไป” พล.อ.สพรั่ง กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
พล.อ.สพรั่ง กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ไม่มีอะไรที่จะต้องวิตกกังวล เพราะที่ผ่านมาประชาชนได้ตัดสินใจไปแล้ว และที่ผ่านมาตนมีแต่ช่วยเหลือคน ซึ่งเจ้าตัวรู้ดี ทุกคนรู้ดี และไม่จำเป็นต้องไปโฆษณา แต่คนเลวตีเราก็เป็นเรื่องธรรมดา และคนเหล่านี้จะต้องรับผลกรรมที่ทำชั่ว ฟ้าดินลงโทษอยู่แล้ว ไม่เชื่อก็คอยดูประเทศไทยจะมีหิมะตกเหมือน “เวสแบงก์”
ต่อข้อถามว่า ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ได้มีการพูดคุยกันนั้นเป็นใคร พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า หากจะถามว่า ผู้ใหญ่ที่พูดถึงใช่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษหรือไม่ “ผมไม่พูดถึงว่าพูดกับใคร และผมไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ผมพูดกับผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองก็แล้วกัน” และได้บอกกับผู้ใหญ่เหล่านั้นไปหมดแล้วว่าเป็นใคร และเมื่อบอกความจริงกับเขา เขาก็รับไม่ได้กับสิ่งที่ตนถูกใส่ร้าย
ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คาดว่าเกิดจากความขัดแย้งในเรื่องของการดำเนินการเกี่ยวกับ สัญญาณ 3 จี ที่กลุ่มธุรกิจสื่อบางกลุ่มหมายมั่นปั้นมือที่จะทำให้เกิดรายได้และก่อให้เกิดผลประโยชน์กับบริษัทในเครือ ซึ่งการดำเนินการของพล.อ.สพรั่ง ในครั้งนี้ อาจจะสร้างความผิดหวังให้กลุ่มธุรกิจด้านการสื่อสารบางกลุ่ม จึงมีการนำเสนอข้อมูลในการบริหารงานที่ไม่โปร่งใสของ พล.อ.สพรั่ง ในฐานะประธานบอร์ด เพื่อเป็นข้อต่อรองเกี่ยวกับสัญญาณดังกล่าว
PNA News
จาก hi-thaksin