คุยเรื่องเศร้าๆ ของคนไทยกับอำนาจของตุลาการมาหลายวัน และก็เชื่อว่าคนไทยหลายสิบล้านคนคงมีอารมณ์แบบเดียวกับผม แต่ก็ขอให้นำความเศร้ามาเป็นพลังขับเคลื่อนต่อสู้กับอำนาจเผด็จการต่อไป
ครับ...ที่นำความรู้สึกเศร้าของผมมากล่าว เพียงอยากให้เห็นว่า พวกเรากำลังต่อสู้กับอะไร และกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไรบ้างเท่านั้น...???
แล้วก็จริงอย่างที่ผมนึกคิด เมื่อครึ้มๆ แวะเวียนเข้าไปที่เว็บไซต์ของเสรีชน www.serichon.com สถานีวิทยุออนไลน์ ที่หาญกล้าออกมาต่อกรกับอำนาจอันไม่ชอบธรรม หลัง 19 กันยายน 2549 ซึ่งเดี๋ยวนี้คงเป็นชุมชนใหญ่ที่คอการเมืองเข้าไปร่วมเสวนา ร่วมรับฟังข้อคิดเห็นทางการเมืองติดลำดับต้นๆ ไปแล้ว
ได้อ่านพบข้อเขียนในคอลัมน์ คุยกันจันทร์ถึงศุกร์ ในหัวเรื่องว่า ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 ต้องยกเลิก โดย “คุณปัญญา คนรากหญ้า”
เนื้อหาที่คุณปัญญานำมาเขียน ต้องบอกว่าทำให้ผมหวนนึกไปถึงวันเวลาแห่งการต่อสู้กับอำนาจเผด็จการในห้วงเวลานั้นเช่นกัน คือ “แดง ไม่รับ” ช่วงรณรงค์ รับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งกำกับการร่างขึ้น โดยเผด็จการทหาร คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช.
และทั้งหมดที่คุณปัญญาเขียน คือความจริง เพราะผมเองก็เป็นตัวละครที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยคนหนึ่ง...!!!
แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับ คุณปัญญาได้นำอดีตที่ยังผ่านพ้นไปไม่นานนักมาเล่าสู่กันฟัง ทั้งบรรยากาศการร่วมรณรงค์ ความอดทนในการต่อสู้ และลงท้ายด้วยสร้อยเศร้าที่เสียงไม่รับร่างออกมาพ่ายแพ้ไปเพียงไม่มาก ที่ สังคมไทยหรือแม้แต่สังคมโลกก็ทราบดีว่า ประชามติรับร่างที่ผ่านมาได้นั้น มันไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง
ประชาชนถูกบล็อก ถูกสกัดการทำความเข้าใจต่อเงื่อนงำที่มีอยู่ใน กฎหมายโจร ฉบับนี้ ทั้งถูกข่มขู่ ถูกเบี่ยงเบนให้เข้าใจผิดในหลายประเด็น โดยเฉพาะ ขอให้รับร่างไปก่อน แล้วค่อยมาแก้ไขทีหลัง ดีกว่าปล่อยให้เผด็จการครองเมือง หรือหากไม่ผ่านร่างรัฐธรรมนูญนี้แล้ว จะไม่มีการเลือกตั้ง
คุณปัญญา เชื่อมโยงอดีตมายังความรู้สึก เศร้า ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ แบบเดียวกับผม โดยคุณปัญญา บรรยายไว้ช่วงหนึ่งว่า...“10 วันแห่งความสุขและน่าสะพรึงกลัว (เราถูกข่มขู่ทุกวัน) กับการรณรงค์ให้พี่น้องประชาชนได้มองเห็นถึงสิทธิและอำนาจที่แท้จริงของประชาชน ก็จบลงด้วยการพ่ายแพ้ในการลงประชามติ "รับ หรือ ไม่รับ" ร่างรัฐธรรมนูญ 2550 เราต่างมองหน้ากันด้วยความเศร้าและหยดน้ำตาก็ไหลรินออกมา ความท้อแท้ห่อเหี่ยวเริ่มเกาะกุมความคิดเรา แต่...เสียงที่ไม่รับและไม่ออกเสียงนั้น กลับทำให้เรามีกำลังใจต่อสู้ต่อ แสงสว่างปลายอุโมงค์ยังรำไรให้เราเห็นและเราเชื่อว่าหนทางแห่งชัยชนะของประชาธิปไตยยังมีหวังอยู่”
“...วันนี้วันที่ชัยชนะของพรรคพลังประชาชนในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ที่ผ่านมา กลับทำให้พวกเรายิ่งท้อแท้และสิ้นหวังเข้าไปอีก อำนาจที่ประชาชนมอบไปให้นั้น กลับไม่สามารถสนองตอบความต้องการที่แท้จริงของประชาชนและหลักการแห่งประชาธิปไตยได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎอัยการศึกอีกหลายจังหวัดที่ยังไม่ยอมยกเลิก รวมถึงรัฐธรรมนูญ 2550 ที่เป็นผลผลิตของโจรกบฏก็กลับถูกนำมาใช้ในการบริหารบ้านเมืองอีก”
“เรารู้สึกสิ้นหวัง และเรารู้สึกว่าเห็นทีขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองในนามภาคประชาชน คงต้องเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจุดประสงค์เดียวคือ "การเรียกร้องให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 ทันที" และกฎหมายทุกฉบับที่มีที่มาจากพวกโจรกบฏ เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนรีบดำเนินการทันที (โปรดฟังอีกครั้ง) รัฐธรรมนูญ 2550 ต้องยกเลิก”
ผมรู้จักกับคุณปัญญาที่สนามหลวง ต่างคนต่างมาเจอกันด้วยเป้าหมายทวงคืนประชาธิปไตยแบบเดียวกัน จนได้ร่วมงานรณรงค์ร่วมกัน แต่หลังๆ ก็ไม่ได้พบกันสักเท่าไร ต่างคนต่างก็กลับไปทำหน้าที่กันตามถนัด แต่ก็ให้นึกแปลกใจละคนกับความนึกคิดว่า ทำไมความรู้สึกจึงตรงกันได้
แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องคบคิดต่อด้วยว่า ส่วนหนึ่ง การแก้ไขกับการยกเลิก มันคือสิ่งเดียวกันหรือเปล่า และระหว่าง 2 ทางเลือกนี้ ทิศทางไหนทำได้หรือไม่ได้มากน้อยกว่ากันตามภาวะการณ์ที่เหมาะสมได้เพียงใด ซึ่งยังเป็นเรื่องข้อกฎหมาย ตามที่ผมคิด
แต่อีกส่วนหนึ่งเห็นตรงกันคือ...ถึงเวลาอีกรอบแล้วกระมั่งที่ประชาชนอย่างเราๆ จะต้องออกมาถามทวงรัฐบาลว่า ที่หาเสียงไว้เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังจริงใจอยู่ใช่ไหม ซึ่งอาจต้องเดินไปทวงถามกันสัก 3-4 รอบ เป็นระยะๆ
...ถึงเวลาแล้วกระมั่งที่ประชาชนอย่างผมๆ ท่านๆ ต้องออกมาให้กำลังใจรัฐบาลว่า หากดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขณะที่กลุ่มอันธพาลการเมืองกำลังก่อหวอดสกัดกั้นนั้น ไม่ต้องนึกเกรงกลัว เพราะประชาชนที่สนับสนุนรัฐบาลยังใจจดใจจ่อต่อเรื่องนี้อย่างจริงจังและพร้อมเป็นพลังที่บริสุทธิ์หนุนเนืองอยู่ทุกขณะ
หรืออาจต้องถึงเวลาแล้วกระมั่งที่ผม คุณปัญญา และคนอื่นๆ อีก อาจต้องมาร่วมรณรงค์กันอีกรอบแล้วในแคมเปญ “แดง แก้ไขรัฐธรรมนูญ” ฝากคิดด้วยครับ...
พร ภัทร (แทน)