WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, March 28, 2008

ทิ้งทำไม

ภาพรถดับเพลิงของกรุงเทพมหานครนับร้อยๆ คัน ที่จอดทิ้งร้างเอาไว้บริเวณลานกว้างของ ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ทุกวันนี้ช่างบาดตาและทำร้ายอารมณ์ของคนไทยผู้เสียภาษียิ่งนัก!!!

ไม่เพียงแดด ลม และพายุฝนที่รุมกระหน่ำซ้ำเติมรถดับเพลิงเหล่านี้ หากแต่ “ไอทะเล” บริเวณท่าเรือแหลมฉบัง ก็ยิ่งจะทำให้มูลค่าของรถดับเพลิง “ล็อตหลัง” จำนวน 133 คัน หดหายไปเรื่อยๆแม้ว่าเพิ่งจะส่งตรงมาจากออสเตรียได้เพียงปีเศษก็ตามว่ากันว่า “ล็อตแรก” ที่นำเข้ามาก่อนหน้านี้จำนวน 176 คัน และได้จอดทิ้งไว้ในโกดังเช่าของเอกชนรายหนึ่งย่านบางบัวทองนานกว่า 2 ปีนั้นแม้จะมีหลังคาคลุมกันแดดและฝน แถมไม่ต้องผจญกับ “ไอทะเล” เหมือนล็อตหลัง แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการจอดทิ้งไว้เฉยๆ ก็ไม่ใช่เล่นๆ

เท่าที่ “บางกอกทูเดย์” กวาดสายตาดูแล้ว ไม่ว่าจะเป็นยางรถยนต์, แบตเตอรี่, ปั๊มน้ำ หัวฉีดน้ำ, สายยาง หรือระบบคอมพิวเตอร์สำหรับรถขนาดใหญ่ ฯลฯ ทุกอย่างล้วนแต่เสื่อมสภาพเฉพาะรถเล็ก 4 ล้อ ยี่ห้อมิตซูบิชิ สตราดา 72 คัน แค่ยางอะไหล่เส้นเดียวก็มีราคาเฉลี่ยต่อเส้นไม่น้อยกว่า 5,000-6,000 บาทแล้วที่แพงเพราะต้องแบกรับน้ำหนักรถ บวกกับอุปกรณ์ดับเพลิงและปริมาณน้ำในถังกักเก็บหมายความว่า...เฉพาะยางรถยนต์ที่จะต้องเปลี่ยนสำหรับรถเล็ก 4 ล้อ รวมทั้งสิ้น 288 เส้นๆ ละ 5,000-6,000 บาท

กทม. ในฐานะเจ้าของโครงการฯ ต้องเสียเงินเพื่อการนี้ราวๆ 1.44–1.72 ล้านบาทหากนับรวมยางรถยนต์ของ 6 ล้อและ 10 ล้อ ที่มีขนาดใหญ่กว่าและราคาแพงกว่าไม่น้อยกว่า 10,000 บาทต่อเส้น รวมกันอีก 233 คันแล้วค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ คงมีไม่น้อยกว่า 16.5 ล้านบาทเฉพาะแค่ค่าเปลี่ยนยางรถยนต์อย่างเดียว รวมกันทุกขนาดก็ปาเข้าไป 17-18 ล้านบาทแล้วนี่ยังไม่รวมค่าเสื่อมของแบตเตอรี่ ปั๊มน้ำ หัวฉีดน้ำ ระบบคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมืออื่นๆ ซึ่งว่ากันว่า...รวมๆ กันนับเป็นร้อยๆ ล้านบาททีเดียว!!!ขึ้นชื่อว่า...รถ

ทุกอย่างมันก็ย่อมจะต้องลดค่า ลดราคาลง เหมือนกับชื่อที่พ้องเสียงนั่นแหละเมื่อ กทม. นำไปจอดทิ้งไว้เฉยๆ โดยไม่มีการนำออกมาใช้งานเพื่อการดับเพลิง ราคาค่างวดของมันก็ย่อมจะลดน้อยถอยลงไปเท่าที่ “บางกอกทูเดย์” รู้มานั้น...บริษัทสไตเออร์แห่งออสเตรีย คู่สัญญาของ กทม. ได้ว่าจ้างบริษัทเอกชนรายหนึ่งของไทย ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของพวกเขาเพื่อให้ “บริการหลังการขาย”แต่บริษัทที่ว่านี้...ไม่มีโอกาสแม้จะให้บริการ เนื่องจากยังไม่มีการนำรถดับเพลิงขนาดต่างๆ ไปใช้งานแต่อย่างใด

การรับประกันอันเป็น “บริการหลังการขาย” ของคู่สัญญาของ กทม. จะครบกำหนด 3 ปีของ “ล็อตแรก” จำนวน 176 คัน ในช่วง 26 มกราคม 2552 ที่จะถึงนี้นั่นก็หมายความว่า...ตอนนี้ กทม. เหลือเวลาอีกเพียง 10 เดือนเท่านั้น ที่จะได้รับสิทธิ “บริการหลังการขาย” จากบริษัทสไตเออร์เกินกว่านี้...ก็จบกัน!!!ส่วน “ล็อตหลัง” จำนวน 133 คัน ดูท่าว่า...อาการจะสาหัสมากกว่า “ล็อตแรก” มากนัก เพราะต้องทนกับสภาพตากแดด ตากลม ตากฝน และยังต้องผจญกับ “ไอทะเล” อีกด้วยหากไม่รีบใช้ “บริการหลังการขาย” ตามเงื่อนไขแห่งสัญญาแล้ว

เมื่อครบกำหนด...เมืองไทยและ กทม. ก็จะไม่ได้อะไรเลยซื้อแพง...แต่ได้นำมาใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ก็ยังพอทำใจได้แต่นี่...ซื้อแพงแล้วยังจะเก็บทิ้งไว้เฉยๆ จนสภาพรถดับเพลิงทั้งประเภท 4 ล้อ, 6 ล้อ และ 10 ล้อ เสื่อมสภาพและไร้ราคามากขึ้นๆ ทุกวันนี่หรือ คือ หลักการบริหารของ กทม. ยุคของ นายอภิรักษ์ โกษะโยธินเอาล่ะ! จะโทษ กทม. อย่างเดียวคงไม่ถูก เพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวพันและเชื่อมโยงกับกลุ่มผลประโยชน์ถึง 3 กลุ่ม (อ่านล้อมกรอบประกอบ)

อีกทั้ง เรื่องนี้ก็ถูกส่งต่อจากชั้นสอบสวนของดีเอสไอไปจนถึง ป.ป.ช. ต่อเนื่องไปจนถึง คตส. ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้เกี่ยวข้องไปแล้ว...หลายคนนายสมัคร สุนทรเวช ในฐานะอดีตผู้ว่าฯ กทม.นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. คนปัจจุบันคุณหญิงณฐนนท ทวีสิน อดีตปลัด กทม.นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์นายราเชนท์ พจนสุนทร อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ

โดยเฉพาะ 2 คนหลังนี้ เกี่ยวพันในฐานะที่กระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (ก.ม.ฮั้ว) และกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ไม่ว่าเรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร? ใครจะเป็นคนผิด? และใครจะต้องรับผิดในคดีนี้?ก็ไม่น่าที่ กทม. จะกลัวความผิด เสียจนไม่ยอมนำเอารถดับเพลิงมูลค่าเกือบๆ 8,000 ล้านบาทออกมาใช้

จนคนกรุงเทพฯ และเมืองไทย ต้องเสียหายซ้ำซ้อน...ซ้ำซาก!!!
ถึงบรรทัดฐานนี้...กระบวนการเอาผิดตามกฎหมายกับ “คนผิด” ที่ปล่อยให้สัญญาจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม. ในมูลค่าที่แพงมหาศาลและเกินจริงไปเกือบครึ่งต่อครึ่ง ยังจะต้องเดินหน้าต่อไปใครผิดก็นำตัวไปลงโทษแต่เรื่องของผลประโยชน์ชาติ โดยเฉพาะการไม่นำรถดับเพลิงไปใช้ประโยชน์ โดยปล่อยทิ้งร้างเอาไว้เช่นนี้ไม่น่าจะเป็นคุณต่อฝ่ายใด

ยกเว้น...บริษัทฝรั่ง เพราะไม่ต้องจ่ายเงินค่าดูแลซึ่งเป็น “บริการหลังการขาย” สักสตางค์แดงเดียวถึงตอนนี้ ฝ่ายไทยโดย กทม. ได้จัดส่งค่างวดมาแล้ว 3 งวดๆ ละ 700 ล้านบาทเศษเหลืออีก 6 งวดที่จะต้องทยอยส่งตามเงื่อนเวลาแห่งแอลซี ที่ กทม. ยุคของ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ไปทำเอาไว้กับ บริษัทสไตเออร์แห่งออสเตรียแล้วอย่างนี้ จะปล่อยทิ้งรถดับเพลิงกันไปทำไม???