สงสารคนไทยจริงๆ ...สงสารทั้งที่ผมเองก็เป็นคนไทย...แต่ก็เชื่อว่ายังมีคนไทยบางกลุ่มบางพวก ที่มองความสงสารอย่างที่ผมจะกล่าวไม่ออก หรืออาจอนุมานได้เลยว่า ไม่เคยมีความสงสารใดๆ เกิดขึ้นเลยในมโนสำนึกเสียด้วยซ้ำในกลุ่มคนพวกนี้...!!! ที่เชื่อเช่นนั้นเพราะว่า พฤติกรรมที่แสดงออกมาให้เห็น สะท้อนอย่างชัดเจนว่า กลุ่มคนที่ขาดมโนสำนึกที่กล่าวเหล่านี้ รู้พอ.. รู้พอที่ว่า...เหตุการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่ขณะนี้ จะถึงทางตัน ส่อไปถึงขั้นรุนแรงได้ในท้ายสุด หากพวกเขาจะดึงดัน จะดันทุรัง ไปสู่เป้าหมายในสิ่งที่ตัวเองเพียงต้องการเท่านั้น ไม่สน... ไม่อยู่ในความรับผิดชอบใดๆ แม้บ้านเมืองจะเสียหายอย่างมหาศาล... แม้สังคมจะปั่นป่วน และแม้มันจะทำให้บ้านเมืองถอยหลังไม่ทันนานาประเทศอื่นๆ ก็ตาม หรือแม้แต่จะทำให้คนไทยอาจต้องออกมาฆ่ากันเองก็ตาม เพราะพวกเขาเหล่านั้น มั่นใจว่า ตัวเองและพวกพ้องเครือญาติไม่ลำบาก ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่เห็นชัดก็คือ บรรดาคณะนายทหารที่ลุแก่อำนาจ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ใช้กองกำลังอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ประชาชนยอมเสียภาษีให้ไว้ป้องกันประเทศ ออกมาข่มขืนใจประชาชน ล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ฉีกรัฐธรรมนูญ 2540 ที่เป็นกติกาที่ทุกภาคส่วนของสังคมไทยยอมรับทิ้ง และยังถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายบ้านเมืองอย่างสูงสุด แต่วันนี้ พวกเขาเหล่านั้นหาทุกข์ร้อน... เดือดร้อน อย่างใดไม่ มิพักต้องพูดถึงโทษทัณฑ์ที่ต้องรับจากการกระทำผิดอย่างใหญ่หลวงต่อบ้านเมืองแต่อย่างใดเลย เพราะอาจกลายเป็นเป็นเรื่องชวนหัวเราะไปอย่างง่ายดายสำหรับคนเหล่านี้ และนั่นก็คือพฤติกรรมของบรรดาเหล่าผู้นำทหารไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่า หาญกล้ากระทำการปฏิวัติรัฐประหารเรื่อยมาอย่างต่อเนื่องตลอด 75 ปี นับแต่ 2475 ที่องค์พระบาทสมเด็จปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงยอมสละพระราชอำนาจให้กับปวงชนชาวไทย กล่าวได้ว่า ประชาชนคนไทย รุ่นแล้วรุ่นเล่า ต้องต่อสู้กับเผด็จการทหารมาอย่างยาวนาน ถือเป็นปฏิปักษ์ที่เด่นชัด เพราะฝ่ายหนึ่งใช้แนวทางสันติ แต่อีกฝ่ายใช้แนวทางเผด็จการทางทหาร จึงคิดง่าย ทำง่าย เพราะมีอาวุธอยู่ในมือ มีกองกำลังอยู่ในคำสั่ง...!!! แต่กระนั้นก็ตาม กาลเวลาของการต่อสู้ของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยกับผู้นำทางทหารที่เป็นเผด็จการ ได้สอนให้แต่ละฝ่ายเรียนรู้มาอย่างต่อเนื่อง...??? เพราะเมื่อใดมีกลุ่มนายทหารแสดงตน ใช้อำนาจบาตรใหญ่ยึดครองประเทศด้วยกำลังอาวุธ ก็มักจะมีทหารที่ยังรักประชาธิปไตยออกมาร่วมต่อสู้ ออกมาร่วมคัดค้านกับประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะประชาธิปไตย ไม่ได้สงผลดีเฉพาะแต่ประชาชนที่ไม่อยู่ในเครื่องแบบเท่านั้น แต่องค์รวมของประชาธิปไตย สามารถแผ่ขยายไปได้อย่างไม่สิ้นสุดในทุกกลุ่มสังคม ไปถึงอย่างบริสุทธิ์... ไปถึงอย่างไม่ต้องปิดบัง... ไปถึงยังพ่อแม่พี่น้องของเหล่าทหารหาญที่ได้ประโยชน์ไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย จึงไม่ผิดหากจะบอกว่า วันนี้ ทหารไทย รับรู้ดีว่าบ้านเมืองต้องปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย... แต่เพราะคำสั่งที่ต้องเป็นไปย่างเคร่งครัดตามวินัยของทหาร ทั้งหมดจึงเป็นการฉวยโอกาสของผู้นำทหารที่เป็นเผด็จการ นำมาใช้อย่างเสียหาย นำไปใช้เพื่อประโยชน์ของคนเพียงไม่กี่คน ที่มีโอกาสแล้ว สังคมไทยน่าจะนำเรื่องนี้หยิบยกขึ้นมาทำให้เกิดความกระจ่างต่อการรับคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนี้เสียที แต่ถึงวันนี้ ... คาบเวลานี้ คนไทยยิ่งน่าสงสารทวีคูณขึ้นไปอีก น่าสงสารเมื่อมองเห็นว่า ขวากหนามที่ต้องฝ่าฟันในวันนี้ มีเผด็จการที่ใช้อำนาจกดหัวคนไทยอยู่ถึง 2 พวก...??? พวกหนึ่งคือเผด็จการในเครื่องแบบทหาร อีกพวกเพิ่งโผล่ เพิ่งสำแดงตัวออกมาให้เห็น และดูจะเป็นพวกที่เรียกตัวเองว่า "ใช้อำนาจเพื่อความยุติธรรม" การดาหน้าออกมาขานรับแผนกำจัดประชาธิปไตยของกลุ่มตุลาการ กลุ่มผู้พิพากษา ที่ใช้เกียรติและอำนาจที่ประชาชนไว้วางใจมอบให้ กลับมากดหัวคนไทย จึงกลายเป็นการต่อสู้ที่เพิ่งเริ่มขึ้นใหม่ กับกลุ่มเผด็จการที่แฝงเร้นซ้อนกายมาอย่างยาวนานเบื้องหลังเสื้อครุย วันนี้ สังคมไทยจึงไม่เพียงต้องต่อสู้กับเผด็จการที่ใช้กำลังอาวุธเท่านั้น แต่ยังต้องต่อสู้ให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบกับผู้ใช้อำนาจทางกฎหมายอีกด้วย กฎหมายที่พร้อมจะสามารถถูกตะแบง ถูกตีความไปอย่างข้างๆ คูๆ เพื่อเอาผิดกับคนที่ไม่เห็นด้วย กฎหมายที่อาจใช้ปิดปากไม่ให้ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้...!!! วันนี้ จึงมองเห็นภาระอันหนักอึ้งของประชาชนคนไทยที่ต้องออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะรอบกายมองไปก็เห็นแต่หลุมดำของอำนาจที่ไม่ชอบธรรม ทั้งอำนาจอาวุธ ทั้งอำนาจทางกฎหมาย แล้วจะไม่ให้สงสารตัวเอง... สงสารคนไทย... สงสารสังคมไทยมากขึ้นกว่าเดิม ได้อย่างไร...??? แต่กระนั้นก็ตาม ทุกอย่างต้องแปรเปลี่ยนให้เป็นพลัง เพราะความอยุติธรรมย่อมพ่ายแพ้ต่อความยุติธรรม และความไม่ถูกต้อง ไม่สามารถแปลเปลี่ยนเป็นความถูกต้องได้ วันนี้จึงขออัญเชิญพระราชดำรัสของรัชกาลที่ 7 มาเผยแพร่ให้กลุ่มบุคคลใดที่คิดทำลายประชาชนได้ตระหนักให้ดีอีกครั้ง "ข้าพเจ้าเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม ให้แก่ราษฏรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายให้แก่ผู้ใดคณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฏร์" โดย : พร ภัทร