ปลุกผี…อีกครั้ง! สายน้ำจันทน์
ชื่อของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)
เกือบจางหายสาบสูญไปจากห้วงความทรงจำ...
ภายหลังจากที่ประชาชนลงคะแนนความไว้วางใจให้ “พลังประชาชน” มาเป็นรัฐบาล ให้บุรุษชื่อ “สมัคร สุนทรเวช” มาเป็นผู้นำปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตย
ห้วงความทรงจำเดียวกันได้ฝังลืม “บุรุษหนึ่ง” ผู้ถูกระบุนั่งหัวโต๊ะ “บงการ” ก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
วันนี้ “พวกท่าน” ยังนั่งกระหยิ่ม...ยิ้มได้อย่างสบายใจ กันดีอยู่หรือ?
หากเป็น ผู้ที่ทำคุณูประโยชน์นานัปการ ควรค่าแก่การระลึกถึงจดจำเสียแล้ว การปรากฏตัวในวันหนึ่ง ย่อมได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ได้ยินเสียงปรบมืออันกึกก้อง
เสมือนในภาพของ “ความดีงาม” ยังเป็นที่จดจำไม่เสื่อมคลาย
แต่เมื่อการณ์กลับในทางตรงกันข้าม...หากเป็น ผู้ที่กระทำการอัน “ฉิบหาย” ให้แก่บ้านเมือง สร้าง “ตราบาป” ให้กับคนในชาติด้วยกันเองเสียแล้ว
การปรากฏตัว “เป็นๆ” หรือเพียงแค่เอ่ย “นาม” ปรากฎขึ้นในวันนี้ ก็ย่อมเป็นผลสะท้อนตีกลับไปยังห้วงเวลาของ “ความเจ็บปวด” ที่ยังกัดกร่อนหัวใจของคนไทยทั้งประเทศอยู่ทุกวันนี้
มิน่าจดจำ แต่ก็ยากแก่การลืมเลือน...
ถ้อยความของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผ่านหนังสือ “ลับ ลวง พราง : ปฏิวัติปราสาททราย” น่าสนใจยิ่งนัก
เป็นสาระน่าสนใจในคำคล้ายสารภาพ “ผมกับป็อก คิดกันแค่สองคนเท่านั้น”…
นั่นหมายถึง “พล.อ.สนธิ” คิดอ่านวางแผนปฏิวัติรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 กับ “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ผบ.ทบ. ณ เวลานั้นเป็น แม่ทัพภาค 1
เพียงแค่ 2 คนเท่านั้น!!
การปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ถือว่า “ล้มเหลว” และ “พ่ายแพ้”
เพราะไม่เพียงแค่ กลุ่มอำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกโค่นล้มอำนาจ แต่ก้ได้ชัยชนะในเลือกตั้งเมื่อ 23 ธันวาคม 2550 แล้วกลับมายืนอยู่เบื้องหลังการจัดตั้งรัฐบาล
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังส่งผลให้ “คณะทหารที่ก่อการปฏิวัติ” ในนาม “คมช.” แตกแยกกันเองด้วย
ภาพหนึ่งในความสัมพันธ์ระหว่าง “พล.อ.สนธิ” กับ “พล.อ.อนุพงษ์”
และอีกภาพหนึ่งในความสัมพันธ์ของ “พี่น้องรบพิเศษ” ที่แสนยาวนาน ระหว่าง “พล.อ.สนธิ” กับ “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” อดีตนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติ ต้องขาดสะบั้นลง จนแทบจะทำให้ลูกผู้ชายที่ชื่อ “พล.อ.สนธิ” เกือบต้องหลั่งน้ำตา
เกริ่นอารมณ์คนอ่านมาขนาดนี้ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า “ลับ ลวง พราง ปฏิวัติปราสาททราย” - คัมภีร์ปฏิวัติ เบื้องหลัง 19 ก.ย.2549 กำเนิด - อวสาน คมช. กำลังถูกมองเป็น “คู่มือเช็กบิล” คมช.
ในขณะเดียวกัน ได้แฝงรอยเป็น “คัมภีร์ปฏิวัติ” ในตัว
“ถ้าผมไม่ปฏิวัติ ก็ยังไม่รู้เลยว่า วันนี้ ชาติบ้านเมือง และสถาบันของเราจะเป็นอย่างไร จะยังมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อยู่หรือไม่”
ความประโยคหนึ่งจากลมปากของ “บังธิ”...หนึ่งในสองผู้คิดการใหญ่ในอดีต
หากแต่ ผู้เขียน ยังเผยบทบาทของ “พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร” ถึงการเป็นกองหนุน “กรุยทาง” ปูกระแสปฏิวัติ ด้วยการหา “ฝ่ายสนับสนุน”
โดยเฉพาะความสัมพันธ์แนบแน่นกับ “กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ผสมโรงกับการทำ “สงครามน้ำลาย” กับรัฐบาล
รวมไปถึงการเตรียม “กำลัง” พร้อมปฏิวัติ ที่ทำให้ เพื่อนทหาร ตท.10 ใน กองทัพภาค 3 ล่วงรู้แผนการล่วงหน้า ก่อนจะนำมาซึ่งการปฏิวัติ ในอีก 7 เดือนต่อมา
ผู้เขียนยัง ระบุว่า การรวมตัวกันของ คปค. (คณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) เริ่มจากความ “ไม่เป็นเอกภาพ”
อีกในตอนหนึ่ง ยังระบุว่า “ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการยึดอำนาจ นั้นมี 9 คน แต่ไม่เปิดเผยชื่อ ทว่าค่อยๆปรากฏตัวออกมาทีละคนๆ ไปแล้ว ทั้งยังมีบทบาทของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรอง ผอ.รมน. (อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน) เป็นหนึ่งในคืนก่อนวันก่อการนั้นด้วย
“คนที่อยู่เบื้องหลัง มีหลายคน ถ้าเปิดเผยออกมา ก็ร้องอ๋อกันทั้งนั้น แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดเผย” เขาว่าเช่นนั้น
แต่อย่างไรก็ดี “พล.อ.สนธิ” ปฏิเสธ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ
แต่กลับยอมรับ ตั้งแต่ก่อนปฏิวัติได้มีการเข้าพบ พล.อ.เปรม เรื่อยมา สัปดาห์ละ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย เพื่อเล่าสถานการณ์ต่างๆ ให้ฟัง...
และเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ขั้วอำนาจเปลี่ยน เช่นนั้นแล้ว บรรดาแกนนำ คมช. ต่างก็พากันแยกย้ายกันเอาตัวรอด เพราะกลัวการถูก “เช็กบิล” ภายใต้ข้ออ้างที่เรียกว่า “สมานฉันท์ หรือ ฮั้ว เพื่อชาติ”
“พล.อ.อนุพงษ์” คีย์แมนสำคัญเสี่ยงชีวิตด้วยกันมา แต่ที่สุดก็กลับขัดแย้งกันเอง จึงอาศัยสายสัมพันธ์ เพื่อน ตท.10 สมานฉันท์ กับ “พ.ต.ท.ทักษิณ”
ขณะที่ “พล.อ.สนธิ” แสร้ง “ลับ ลวง พราง” อีกครั้ง ด้วยการยอมโทรคุยกับ “พ.ต.ท.ทักษิณ” ที่ทำให้ถูกก่นด่าอย่างหนัก เพื่อสร้างความ “ตายใจ”
อีกนัยหนึ่ง พล.อ.สนธิ ยังมีความเคลื่อนไหวอยู่เงียบๆ ขณะที่ก้หวั่นเกรงความไม่ปลอดภัย จึงย้ายไปอยู่ บ้านพักทบ.ใน ร.11รอ.
และท้ายที่สุดอาจกลับมาเล่นการเมือง โดยมี “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ที่เขาร่วมก่อตั้ง และช่วยเหลือให้ทหารช่วยเลือกตั้งมารองรับ “บทบาท” ใหม่...ของ “เขา” อีกครั้ง
หากเป็นเช่นนั้นแล้ว “ป่าช้า” คงแตกกระเจิง...