ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) รุ่น 2 เปิดเผยว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาการเปลี่ยนแปลงขึ้นเป็นอย่างมาก ในภาคประชาชน มีพัฒนาการที่ดีขึ้น มีการรวมตัวกันจนเข้มแข็งเพื่อที่จะออกมาต่อสู้กับระบอบเผด็จการและอำมาตยาธิปไตย ที่คอยจ้องจะบ่อนทำลายความเป็นประชาธิปไตยของประชาชน
ขณะเดียวกันด้านของเผด็จการเองก็มีความพยายามที่จะสร้างระบอบการเมืองใหม่อยู่เสมอ โดยไม่ยอมลดละ และยังพยายามใช่มุขเดิมดึงเอาทหารเข้ามาร่วมให้ทำการยึดอำนาจอีกครั้ง ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานั้น การต่อสู้ระหว่างประชาธิปไตยและอำมาตยาธิปไตยมีปรับเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้เรื่องมา ซึ่งเปลี่ยนจาการใช้กำลังและอาวุธ เข้าทำการยึดอำนาจ มาเป็นการใช้ตุลาการภิวัฒน์เข้าแทรกแซงอำนาจบริหาร และนิติบัญญัติ จนทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพทางการเมืองไม่สามารถที่จะเดินหน้าหรือถอยหลังได้เลย
ฉะนั้น หากเราไม่สามารถแก้ไขวิกฤติ และเอาอำนาจอำมาตยาธิปไตยออกไปจากประเทศไทยได้ บ้านเมืองคงจะไม่สามารถที่จะเจริญและพัฒนาไปตามระบอบของประชาธิปไตยได้อย่างแน่นอน ดร.เมธาพันธ์ กล่าวต่ออีกว่า รัฐธรรมนูญ ปี 2550 เองก็เช่นกันที่เป็นหนึ่งในมรดกของเผด็จการ ที่วางเอาไว้เป็นกับดัก ซึ่งเป็นอุปสรรคที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานของรัฐบาล
ดังนั้นประชาชนควรที่จะลุกออกมาเพื่อแสดงจุดยื่นให้มีการแก้ไข รัฐธรรมนูญ 50 อย่างจริงจังโดยเร็วที่สุด มิเช่นนั้น ฝ่ายประชาธิปไตยก็จะต้องพ่ายแพ้ในที่สุด ซึ่งตนขอยืนยันว่า แนวทางที่จะแก้ไขปัญหาและเป็นทางออกที่ดีที่สุดคือ แก้ไข รธน.50 และทำให้ตุลาการกลับเข้าไปอยู่ในที่ตั้งของตนเอง ไม่ให้เข้ามาก้าวก่ายอำนาจด้านอื่น เพื่อมีสมดุลของอำนาจทั้ง 3 ฝ่าย
“ผมอยากจะฝากให้ทุกคนได้สำนึกถึงเจตนารมณ์ของล้นเกล้า รัชกาลที่ 7 ซึ่งพระองค์ไม่ได้ต้องการให้มีประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อยู่คู่กับประเทศไทย และต้องการให้ประชาชนทุกคนมีถือครองอำนาจปกครองอย่างเท่าเทียมกัน” ดร.เมธาพันธ์ กล่าว