คอลัมน์ : ตะแกรงข่าว
สิ่งที่ต้องจับตาดูในวันนี้คือ ม็อบพันธมิตรทำลายประชาธิปไตย หยุดบ้าคลั่งหรือไม่ หรือยังดื้อด้านสร้างวิกฤติให้กับบ้านเมืองต่อไปอีก โดยไม่สนใจต่อเสียงเรียกร้องจากทุกฝ่ายที่ต้องการให้บ้านเมืองเกิดสันติสุขเสียที
ที่ต้องย้ำถึงสิ่งที่ได้พบเห็นในช่วงที่ผ่านมาคือ “การเมือง” ได้พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่า “ผลประโยชน์” เฉพาะตน เฉพาะกลุ่ม สำคัญกว่าความสำนึก “ความรับผิดชอบ” ต่อประชาชนและประเทศชาติ
เราได้เห็น นักการเมือง-พรรคการเมือง ที่พร่ำเพ้อแต่คำว่า “ประชาธิปไตย” เพื่อให้ดูว่ามีความจริงใจ แต่สิ่งที่แสดงออกมาคือการตระบัดสัตย์ ใช้เล่ห์เหลี่ยมทางการเมือง บังอาจวิ่งราวตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” อย่างหน้าด้านๆ และเปิดเผย
ถือเป็นความเจ็บปวดของผู้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
เราได้เห็น “นักการเมือง” ที่ตั้งแง่ กดดัน เพื่อช่วงชิงฉกฉวยผลประโยชน์ ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาให้สังคมได้เห็นว่า แท้จริงแล้วเป็นได้แค่ “นักเลือกตั้ง” เท่านั้น
รวมถึงไป “การเมืองใหม่” ที่ “ม็อบพันธมิตรทำลายประชาธิปไตย” เห็นดีเห็นงาม ยังก้มหน้าก้มตาผลักดันให้เกิดกระบวนการสามานย์นี้ขึ้นมาให้ได้ ซึ่งมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากคนพวกนี้จะเห็นว่าคุณค่าความเป็น “คน” ไม่มีความเท่าเทียมเสมอภาคกัน
เป็นการแสดงออกถึงความรังเกียจเดียดฉันท์ และเหยียดหยามคนไทยด้วยกันเอง
เอาล่ะ...แม้เราจะได้ “นายกรัฐมนตรีคนใหม่” แทน นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีคนเก่าที่ขอวางมือ เพราะต้องพ่ายแพ้ต่อ “ตุลาการภิวัตน์”
แต่ “ปัญหาเก่าๆ” ที่เกิดขึ้นมาและสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติบ้านเมืองอย่างใหญ่หลวง ทั้งด้านชื่อเสียงเกียรติภูมิและผลประโยชน์ที่ควรจะได้ ก็ต้องได้รับการสะสางจัดการไปพร้อมๆ กันด้วย
เพราะพฤติกรรมพฤติการณ์ชัดเจนว่าเป็นความเหิมเกริม เจตนากระทำผิดกฎหมาย ละเมิดกฎหมายและปฏิเสธอำนาจรัฐ
พันธมิตรฯ ปฏิเสธทุกข้อเสนอที่จะนำไปสู่การสร้างความปรองดองสมานฉันท์สร้างสรรค์สังคม แต่ยืนยันจะเอาแต่ “รัฐบาลประชาภิวัตน์-สภาประชาภิวัตน์” ที่จะนำไปสู่ “การเมืองใหม่” เท่านั้น
กรณีที่ นายสมัคร สุนทรเวช ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่า การไปทำรายการ “ชิมไปบ่นไป” ถือว่าเป็นลูกจ้าง ไม่ใช่ผู้รับจ้าง ถึงขนาดต้องเปิดพจนานุกรมดู ยังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง จนมีคนออกมาสะกิดต่อมสำนึกของ “นายจรัญ ภักดีธนากุล” ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีส่วนได้เสียกับรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการนี้ ถึงการที่ไปสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน รวมทั้งจัดรายการทางสถานีวิทยุว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่เช่นกัน
แปลกแต่จริง...นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตรองประธานร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ออกมาโต้แทนนายจรัญที่ปิดปากเงียบ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้นายจรัญซึ่งเป็นคนที่ความรู้สึกไวมาก จะต้องออกมาโต้มาชี้แจงอย่างทันทีทันใด แต่คราวนี้...ไม่ใช่
นายเสรี ระบุว่า การไปสอนหนังสือไม่มีเป้าหมายทำเป็นธุรกิจที่มุ่งหาผลกำไร จึงไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
ถ้าไปเทียบกับกรณีของนายสมัครจะเห็นว่าที่ไปทำรายการที่เกี่ยวกับอาหารการกินก็เพราะความชอบส่วนตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่คนทั้งบ้านทั้งเมืองรับรู้กันเป็นอย่างดี ไม่ได้มุ่งหากำไรเหมือนกัน
แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา...ไม่เหมือนกันแฮะ
และที่ถามกันมามากคือ “สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ” ยิ่งใหญ่คับฟ้ามาจากไหน ถึงได้ตั้งใจจงใจสร้างความเดือดร้อนให้เกิดขึ้น โดยเอาเพื่อนร่วมชาติผู้ใช้บริการมาเป็น “ตัวประกัน” ในการเรียกร้องผลประโยชน์
ผมว่าคนในรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่คงไม่เห็นด้วยกับวิธีการของบรรดาแกนนำ แต่ที่ทำลงไปเพื่อต้องการสร้างราคาให้ตัวเอง ถึงกับดึงเอาองค์กรมาเป็นฐานในการเรียกร้องกดดัน มากกว่าการต่อสู้เพื่อปกป้องรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติส่วนรวม
เรื่องที่ให้รถไฟหยุดวิ่ง ถือเป็นความอัปยศอย่างยิ่ง ที่สร้างความเดือดร้อนให้คนยากคนจน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำซาก ที่ส่อถึงสันดานที่เห็นแก่ได้ แต่ครั้นเมื่อพันธมิตรฯ เพลี่ยงพล้ำ เริ่มมีผู้คนที่มาร่วมชุมนุมเริ่มถอยหนี เพราะรับไม่ได้กับวิธีการที่ไร้เหตุผล ไร้ทิศไร้ทาง เหมือนต้องทนเดินอยู่ในความมืดมิด...ก็ร้องแรกแหกกระเชอให้เปิดเดินรถไฟทันที เพื่อจะให้ลิ่วล้อเครือข่ายที่เคยสร้างความเสียหายมาแล้วในต่างจังหวัดได้เดินทางมาร่วมการชุมนุมประท้วง มาสร้างปัญหาให้กับบ้านเมือง...นี่แหละคือซากเดนเผด็จการ
ไม่ต่างจาก “คนหัวโล้น” ในม็อบพันธมิตรทำลายประชาธิปไตย ใช้ชื่อว่า “กองทัพธรรม” ที่ทุ่มสุดตัวหนุนคลุกคลีกับวิธีการใช้ความรุนแรง เกลือกกลั้วกับการมุสาจาบจ้วงล่วงเกินของม็อบ ถือเป็นการย่ำยีพระพุทธศาสนา ทำให้ถูกมองว่ามีความบกพร่องทางด้านศีลธรรม มีปัญหาในเรื่องความเมตตากรุณา
วันนี้ รัฐบาลจะต้องเรียกความเชื่อถือศรัทธา ความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ ให้กลับมาโดยเร็วที่สุด ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถบริหารจัดการให้บ้านนี้เมืองนี้มีสงบสันติ เกิดความสมานฉันท์ และประเทศนี้ต้องปราศจากการใช้ “กฎหมู่” มาข่มขู่ “กฎหมาย” อย่างที่เป็นอยู่
ต้องทำกฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์ คนทำผิดต้องได้รับการลงโทษ
วันนี้เราได้เห็นถึงความพยายามจะสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นแล้ว ถึงกับมีการเสนอนิรโทษกรรมอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน กับ 9 กบฏ หวังแก้วิกฤติชาติ
แม้ที่มาที่ไปของโทษจะต่างกันราวฟ้ากับดินก็ตาม
ผมว่าสถานการณ์ได้คลี่คลายลงไปแล้ว เมื่อ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รักษาการนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยทหาร ตำรวจ ออกมาประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉินในพื้นที่ กทม. เพื่อต้องการสร้างความสมานฉันท์ ตามความต้องการของทุกฝ่าย
แต่ถ้ามันยังเหลือบ่ากว่าแรง เพราะมี “มือที่มองไม่เห็น” มาคอยบงการ สนับสนุน ผลักดันให้พันธมิตรทำลายประชาธิปไตยเหิมเกริมอย่างที่เป็นมา ก็มีเสียงเรียกร้องตามมาว่า ควรส่งคืน “อำนาจ” ไปให้ประชาชนตัดสิน ก่อนแผ่นดินจะลุกเป็นไฟ...เสียงนี้ดังขึ้นมาเรื่อยๆ ครับ
เพราะวันนี้ทุกข์ของแผ่นดินเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้าแล้ว ทั้งจากการแบ่งขั้วแตกแยกทางความคิดเห็นที่ชัดเจน มีการทำร้ายกัน และจากภัยธรรมชาติที่สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ถ้าเติมเชื้อลงไปก็พร้อมทะลุจุดเดือดขึ้นได้ทันที
วันนี้ต้องให้ ทำเนียบรัฐบาล กลับมาเป็นที่เชิดหน้าชูตาของประเทศให้ได้ อย่าปล่อยให้กลุ่มคนที่นิยม “การเมืองใหม่” และสร้างความแตกแยก ความวุ่นวายในบ้านเมือง ใช้เป็นข้ออ้างในการประกาศชัยชนะเหนือรัฐบาลอีกต่อไป
เพราะสถานที่แห่งนี้เดิมชื่อ “ทำเนียบสามัคคีชัย” แล้วจะมาดึงดันดื้อแพ่งให้เกิดความแตกแยกกันไปทำไม
ถ้าพันธมิตรฯ ไม่ยอมฟังเหตุฟังผล ยังดันทุรังชุมนุมประท้วงต่อไป ก็สรุปได้ว่า ที่เรียกตัวเองว่าเป็น “ประชาธิปไตย จอมปลอม”
ต้องถามตรงๆ ว่า พันธมิตรฯ ยัง “คลั่ง” การเมืองใหม่อยู่อีกหรือไม่ ยังต้องการให้บ้านเมืองเกิดวิกฤติต่อไปอีกหรือไม่ แม้ว่าฝ่ายบ้านเมืองได้โอนอ่อนผ่อนปรนให้แล้ว ถ้าอย่างนั้น...อันตรายจริงๆ ครับ
อย่างที่คนโบราณว่าไว้ ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้
*อัฐศิริ*