คอลัมน์ : ตะแกรงข่าว
ในที่สุดก็มาถึงคิวของสื่อมวลชนที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อพันธมิตรทำลายประชาธิปไตยไม่พอใจคำถาม “แทงใจดำ” ได้ใช้วิธีการหักดิบ โดยใช้เวทีปราศรัยให้ข่าว ถ้ามีคำถามที่แกนนำและผู้ชุมนุมไม่พอใจ ก็ไม่รับรองสวัสดิภาพความปลอดภัยที่จะมีการใช้กิริยาเถื่อนถ่อยโห่ฮาป่า ไปจนถึงการข่มขู่คุกคามอย่างที่เคยประสบมาแล้ว
ว่าไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ลูกแกะต้องตกไปอยู่ในวงล้อมของหมาป่าที่หิวโซ
ทั้งนี้ มองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้จริงๆ ครับ นอกจากว่า แกนนำพันธมิตรฯ เจตนาให้ข่าวเฉพาะที่ต้องการให้เท่านั้น ไม่ต้องการคำถาม การตรวจสอบ อย่างที่ “สื่อ” ควรจะต้องทำหน้าที่ ในการนำข้อเท็จจริงมาเสนอให้ประชาชนได้รับทราบ
จึงเป็นเรื่องที่ “สื่อ” จะต้องมาทบทวนบทบาทการทำหน้าที่และศักดิ์ศรีกันเสียทีว่า ยังจะยอมเป็นเครื่องมือของม็อบอันธพาลนี้อยู่อีกหรือไม่
หรือยังจะให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏซากเดนเผด็จการต่อไปอีก ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรเสี่ยงอย่างยิ่ง
อับปัญญาพาให้บ้านเมืองพินาศได้นะครับ
ผมจำได้ว่า การทำงานของ “สื่อ” ที่เกาะติดการชุมนุมประท้วงของพันธมิตรทำลายประชาธิปไตย ถูกข่มขู่คุกคามมาอย่างต่อเนื่อง มีการแสดงพฤติกรรมที่ก้าวร้าว เหยียดหยาม เย้ยหยัน ไปจนถึงการใช้กำลังแสดงความป่าเถื่อนกระชากตัวผู้สื่อข่าวสาวมาแล้ว
ครั้งนั้น นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำ ต้องนำตัว “ผู้สื่อข่าวสาว” คนนี้ ออกมาจากที่ชุมนุมประท้วงด้วยตัวเอง และรับปากว่าจะไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาอีก
หลังจากนั้นก็มีเรื่องที่อัปยศเกิดขึ้นมากมาย ทั้งยาเสพติด ถุงยางอนามัยที่เกลื่อนทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเรื่องพวกนี้แกนนำจะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็น อยู่เหนือการควบคุมของแกนนำ แต่เป็นความสมัครใจของผู้เข้าร่วมการชุมนุมก็ตาม
กระนั้น แกนนำม็อบพันธมิตรฯ ก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบเรื่องบัดสีบัดเถลิงเรื่องเลวทรามต่ำช้าที่เกิดขึ้นได้ ถ้ายังมีภาวะความเป็นผู้นำ ที่นำคนร้อยพ่อพันแม่บุกรุกเข้าไปยึดทำเนียบรัฐบาล และมีท่าทีว่าจะอยู่กันยาว
ล่าสุดมีการพบศพในถุงดำ เป็นการตอกย้ำว่า ทำเนียบรัฐบาลวันนี้เป็นสถานที่อันตรายจริงๆ
ผมว่าพันธมิตรฯ เดินทางมาจนตรอกแล้วครับ หมดมุกที่จะเล่นต่อไปแล้ว
ต่างกับรัฐบาลที่ได้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี ตามครรลองตามวิถีทางประชาธิปไตย จากการสนับสนุนของผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ มีฉันทานุมัติให้เข้ามาบริหารกิจการงานบ้านเมือง ร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลที่ประกาศจะร่วมกันตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างเต็มที่ต่อไป เพื่อประชาชนและประเทศชาติ
นายกรัฐมนตรีคนใหม่ถือเป็นมือประสานสิบทิศคนหนึ่งของแผ่นดินนี้ ที่จะทำให้เกิดความร่วมมือร่วมใจจากทุกชนชั้น ทุกสาขาอาชีพ จากทุกภาคส่วนในประเทศได้ไม่ยาก
งานแรกที่รัฐบาลต้องทำคือ การแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับอยู่ในขณะนี้ ในการบรรเทาทุกข์พี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัย ที่รัฐบาลพร้อมจะทุ่มเทสรรพกำลัง เร่งให้การช่วยเหลือเป็นการด่วน
ตามมาด้วยปัญหาความขัดแย้งทางสังคม ที่จะต้องสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นมาให้ได้โดยเร็ว
เป็นสิ่งที่พี่น้องประชาชนต้องการมากกว่า “การเมืองใหม่” ที่กลุ่มพันธมิตรฯ พยายามยัดเยียดผ่านพื้นที่สื่อต่างๆ
เมื่อนายสมชายเข้ามารับตำแหน่งอย่างเต็มตัว ก็จะมีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อลบล้างเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้
วันนี้ต่างประเทศก็มีความเชื่อมั่นขึ้นมาอีกระดับหนึ่งว่า เมืองไทยยังเป็นประเทศที่น่าลงทุน น่าคบค้าสมาคมด้วย ถ้าไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายที่ขบวนการล้มล้างรัฐบาลพยายามใช้แผนใต้ดินดำเนินการ มาทำให้การก้าวไปข้างหน้าต้องสะดุดหยุดลง
และนี่คืออุปสรรคสำคัญที่จะผลักดัน “พรรคการเมือง” ที่สนับสนุนส่งเสริมเผด็จการเข้ามาทำงาน “การเมืองใหม่” มาสร้าง “ประชาภิวัตน์” ได้อย่างที่ตั้งใจไว้ และยังทำให้การทำงานของกลุ่มพันธมิตรฯ ยากยิ่งขึ้น
เพราะไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนคนส่วนใหญ่ แต่จะมีการต่อต้านมากขึ้น
ผมว่าเรื่องอย่างนี้แกนนำพันธมิตรฯ รู้อยู่เต็มอก จึงพยายามยื้อให้สถานการณ์เลวร้ายคงอยู่ต่อไปอีก
มีการท้าทายให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้าไปจับกุมแกนนำในข้อหาเป็น “กบฏ” แต่ต้องรับผิดชอบถ้าเกิดอะไรขึ้น
ตรงนี้ความเป็นลูกผู้ชายหายไปไหนแล้ว เพราะถึงเวลานั้น บรรดาแกนนำที่เป็นกบฏก็จะไปขดตัวอยู่ในกลุ่มของผู้หญิง และเด็ก อย่างที่ได้ซักซ้อมเตรียมแผนกันไว้แล้ว
ตรงนี้แหละครับ ที่ม็อบพันธมิตรฯ จะใช้จุดนี้เป็นไม้ตาย ในการทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล โดยการกล่าวหาและตีข่าวออกไปว่า รัฐบาลใช้ความรุนแรงกับประชาชน หวังเรียกคะแนนสงสารให้คนที่เคยสนับสนุนมาผนึกกำลังต่อสู้อีกครั้ง หลังจากที่มีบางส่วนถอนตัวออกไปมากแล้ว เพราะความหน่อมแน้มในการต่อสู้ ที่มีเป้าหมายสะเปะสะปะไร้ทิศทาง เอาหลักเอาเกณฑ์อะไรไม่ได้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นการขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผลักไสไล่ส่ง นายสมัคร สุนทรเวช ว่าเป็นรัฐบาลหุ่นเชิด จนล่าสุดหันเข็มไม่เอา นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อีกแล้ว เพียงเพราะเป็นน้องเขยของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่ทุกฝ่ายในสังคมรับรู้กันมานานแล้ว ทำไมไม่รอดูว่านายสมชายส่อว่าเอนเอียงช่วยเหลือใครหรือไม่อย่างไร เพราะบ้านนี้เมืองนี้มีกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตาม เมื่อมีการเอนเอียงเอื้อประโยชน์จริง ผมว่าคนไทยทั้งประเทศก็คงไม่เอาด้วย เมื่อถึงเวลานั้นก็อยู่ไม่ได้เอง ไม่ต้องมาขับไล่ไสส่งให้เกิดความวุ่นวาย
และผมยังคิดว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่นี้มีหิริโอตตัปปะ มีความละอาย ไม่ด้านพอ คงไม่ดื้อดึงอยู่บนเสียงก่นด่าว่ากล่าวหรอกครับ
แตกต่างจากแสดงความอหังการขัดขืนอำนาจศาล อย่างที่แกนนำพันธมิตรฯ ประพฤติปฏิบัติกันอยู่ในขณะนี้
ส่อให้เห็นสันดานพาล ที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของคนพวกนี้
ว่าไปแล้ว ผมว่าไม่ต่างอะไรกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่อาจสลัดคราบการเป็นฝ่ายพันธมิตรฯ ที่ยืนหยัดเคียงบ่าเคียงไหล่ซากเดนทรราชเผด็จการได้
ยิ่ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ออกมาเรียกร้องไม่ให้รัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมฉบับมรดกของเผด็จการ ก็ยิ่งชัดขึ้นไปใหญ่
ยืนยันอีกครั้งว่า พันธมิตรฯ จนตรอกแล้วจริงๆ หลังจากนำเสนอ “การเมืองใหม่” ที่ถูกวิจารณ์กันมากว่า เป็นการทำลายประชาธิปไตย ไม่เคารพสิทธิของพี่น้องประชาชนแล้ว ยังมาเปลี่ยนเป็น “ประชาภิวัตน์” มาบริหารจัดการบ้านเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากยังดื้อรั้นผลักดันให้เกิดขึ้น จะเกิดความเสียหายต่อการเมืองการปกครองของประเทศอย่างมหาศาล
เพราะเป็นการเดินตามแนวทางของทรราช ของเผด็จการชัดๆ
หรือสื่อยังจะเดินย่ำรอยร่วมทางไปพร้อมกับซากเดนเผด็จการทรราชเหล่านี้อีก
อัฐศิริ