คอลัมน์ : โต๊ะข่าวประชาทรรศน์
เรื่องวุ่นๆ ที่พรรคพลังประชาชนก็คงจะต้องปล่อยให้ดำเนินกันต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต่างฝ่ายต่างมีเหตุผล และมีพื้นฐานความคิดที่ไม่ถึงกับขัดแย้ง และไม่ได้แตกต่างกันมากสักเท่าไร ความคิดเห็นที่ไม่เหมือนกันเชื่อแน่ว่าไม่นานก็คงพูดจาทำความเข้าใจกันได้
ส่วนจะมีเรื่องชิงไหวชิงพริบ มีเรื่อง “เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด” อย่างที่คอลัมนิสต์บางคนพยายามเอาไปวิเคราะห์วิจารณ์จริงหรือไม่ ใครสงสัยอย่างไรก็ต้องติดตามดูเอาเอง
แต่อย่างไรก็คงจะแตกต่างกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ทุกวันนี้ถึงขั้นพูดจากับใครไม่รู้เรื่องแล้ว
เพราะข้อเท็จจริงของการอยู่ร่วมกันนั้น นอกจากจะแสดงความคิดความอ่านของตัวเองแล้ว ก็ต้องคิดรับฟังความเห็นของคนอื่น แล้วนำเอามาปรับใช้ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
ในขณะที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวาย สับสน อลหม่านไปทุกหย่อมหญ้า
ทุกฝ่ายพยายามที่จะเสนอทางออกเพื่อแก้ปัญหาบ้านเมือง
ซึ่งแน่นอนว่าในวันที่ปัญหาถูกหมักหมม และรุมเร้ามากมายขนาดนี้ ไม่ว่าทางออกใดก็คงไม่สามารถทำให้ถูกใจคนทุกคนได้
อย่างมากที่สุดก็เพียงทำให้ภาพรวมของบ้านเมืองดูดีขึ้น และกลุ่มคนส่วนใหญ่ถูกอกถูกใจตามสมควร
เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นก็คือ การยอมรับความจิง ยอมรับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ดึงดันยัดเยียดแต่ความคิดความเห็นของกูเป็นที่ตั้ง
หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ปัญหาของบ้านเมืองก็ไม่อาจจะแก้ไขได้
และประเด็นนี้เองที่เป็นปัญหาใหญ่ เป็นโจทย์ที่ท้าทายข้อแรกๆ ของนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 ว่าจะจัดการอย่างไรกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ยังปักหลักอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล
ซึ่งคำถามนี้มีแนวโน้มเป็นไปได้มากว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะต้องเป็นคนตอบโจทย์ให้ได้ เพราะจะเป็นประเด็นสำคัญที่หลายคนหลายฝ่ายกำลังจับตามอง
จะเป็นจริงอย่างกระแสข่าวลือหรือไม่ว่า นายสมชาย ถูกส่งมาให้ปฏิบัติภารกิจตามยุทธวิธีใหม่ คือ การ “เจรจา”
จริงหรือไม่ว่า ขณะนี้รัฐบาลโดยความคิดของทั้งผู้อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลัง กำลังเชื่อว่าการพูดจากันจะทำให้ปัญหาทุกอย่างยุติลงไปได้
ถ้าคิดอย่างนั้นจริงแล้ว มีอะไรเป็นหลักประกันว่า ณ วันนี้ กลุ่มพันธมิตรฯ ยังพูดจาประสาคนรู้เรื่อง หรือจะมั่นใจอย่างไรว่าพวกเขาพร้อมจะเจรจาด้วย
หรือจะมีคนใหญ่กว่านั้น ที่เบื้องหน้าและเบื้องหลังนายสมชายมั่นใจว่าจะเจรจาได้
แล้วงานนี้จะต้องเอื้อประโยชน์ให้คนชั่ว คนเลว ด้วยหรือเปล่า หรือจะต้องยกโทษ ยกความผิดให้คนชั่วหรือไม่ ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าติดตาม
มีนักวิชาการบางคนวิเคราะห์ว่า ณ วันนี้ สนธิ ลิ้มทองกุล ออกอาการเหมือนหมาบ้า เพราะไม่รู้ว่าจะหาทางลงได้อย่างไร เพราะฉะนั้นถ้ามีสะพานไปทอด พร้อมกับข้อตอบแทนงามๆ ตามนิสัย ก็เชื่อกันว่าอาจจะหยุดปัญหาต่างๆ ได้
แต่ก็ยังอาจลืมไปถึงข้อสัญญิงสัญญาที่มีไว้กับบรรดานายทุนทั้งหลาย ที่ใช่ว่าจะละทิ้งไปได้ง่ายๆ
ถึงวันนี้หากนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งอาจหมายถึง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เลือกหนทางการเจรจา ก็คงจะต้องพินิจพิเคราะห์ให้ถ้วนถี่ว่า จะต้องเจรจากับ “ใคร” และคนที่จะพูดจาด้วยเขาต้องการอะไรกันแน่ และจะต้องเจรจาอย่างไรถึงจะยุติปัญหาได้ราบคาบ
เพราะแท้ที่จริงแล้ว นายสมชาย ที่มีสถานะเป็น “น้องเขย” น่าจะเป็นเป้าใหญ่เสียยิ่งกว่านายสมัคร ที่ขนาดมีภาพชัดในการปกป้องประชาธิปไตย จงรักภักดีถึงขนาดนี้ แต่ก็ยังอยู่ไม่ได้
หมากเกมที่เดินกันในวันนี้คงไม่ใช่ข้อสรุปที่จะเห็นผลในวันนี้ แต่ยังอาจต้องทอดเวลาไปอีกชั่วระยะหนึ่ง ส่วนจะยาว จะสั้น ก็อยู่ที่จังหวะ โอกาส และฝีมือ
ซึ่งเท่าที่ดูก็ยังอดเป็นห่วงนายสมชายไม่ได้ว่า จะเอาอะไรไปต่อกรกับปัญหาการเมืองที่รุมเร้า และอย่าไปคิดว่าด้วยความเป็นคนใต้เหมือนๆ กันแล้วพรรคประชาธิปัตย์จะไว้หน้า
ทางออกเท่าที่มองเห็นตอนนี้มีเพียงว่า เข้ามาเป็นนายกฯ ให้เต็มตัว พอให้เป็นเกียรติประวัติ แล้วก็ตัดสินใจยุบสภาเสีย เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่
หรือถ้าอยากจะอยู่ได้นานๆ ก็ต้องสั่งการปราบม็อบให้พ้นทำเนียบ จับตัวกบฏไปดำเนินคดีตามกฎหมายให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
เพราะยังไงก็ยังดีกว่าตั้งหน้าตั้งตาจะเปิดการเจรจากับคนที่ด่าพ่อล่อแม่ทุกวี่ทุกวัน เพราะดูแล้วมันน่าสงสาร และไม่สมศักดิ์ศรีนายกรัฐมนตรี ที่ต้องลดตัวไปเจรจากับกลุ่มโจรกบฏ
ถ้าต้องเป็นอย่างนั้น...ออกไปเลี้ยงหลานอย่างนายกฯ สมัคร ได้ใจกว่ากันเยอะเลย...!!
บิ๊กโบ๊ต