ที่มา thaifreenews ตั้งแต่มนุษย์ได้ถูกสร้างขึ้นมาในโลกนี้และมีการรวมตัวกันจนเป็นกลุ่มชนเพื่อการอยู่รอดนั้น ระบบการปกครองก็เริ่มเกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของการอยู่ร่วมกันของชนหมู่มาก ในอดีตนั้นผู้ที่แข็งแรงและมีกำลังมากกว่าก็จะเป็นผู้มีอำนาจในการปกครอง เป็นผู้พิจารณา, ตัดสินและปกครองประชากรในกลุ่มนั้น โดยรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่ผู้นำเพียงคนเดียว ต่อมาเมื่อการรวมกลุ่มของหมู่ชนขยายใหญ่ขึ้น และเิ่ริ่มที่จะซับซ้อนมากขึ้น การปกครองโดยใช้อำนาจของคน ๆ เดียวในการดูแลทุก ๆ ปัญหาในหมู่ชนก็เริ่มที่จะทำไำด้ยากขึ้น จึงเกิดระบบตัวแทนของอำนาจการปกครองขึ้น ที่เรียกว่า “อำนาจรัฐ” โดย “อำนาจรัฐ” นี้ได้ขยายขอบเขตไปอย่างกว้างไกลในทุกพื้นที่ของอาณาจักรนั้น ๆ โดยการอาศัย “ความเชื่อ” และ “ความศรัทธา” ต่ออำนาจการปกครองเดิมที่เคยมีอยู่ในระบบรวมศูนย์ส่วนกลางนั้น โดยมีการถ่ายทอดอำนาจการปกครองตามระบบสายเลือด หรือ โดยการใช้กำลังเข้ายึดครอง ระบบการปกครองในลักษณะนี้จึงอยู่บนฐานความเชื่อที่ว่า “มนุษย์นั้นเกิดมาไม่เท่าเทียมกัน” มีคนบางคน หรือกลุ่มคนบางกลุ่ม เกิดมาเพื่อเป็นผู้ปกครอง และคนอีกกลุ่มก็เกิดมาเพื่อเป็นผู้อยู่ภายใต้การปกครอง โดยไม่มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงชาิติกำเนิดของตน....ภาพของสัีงคมที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ ภาพของสังคมที่ยึดถือเรื่อง “วรรณะ” ของประเทศอินเดียในอดีต ที่แบ่งชนชั้นของประชาชนออกเป็นวรรณะต่าง ๆ ตามคตินิยมของความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ ซึ่งมีถึง 4 วรรณะ กับอีก 1 เศษวรรณะ คือ พราหมณ์, กษัตริย์, แพศย์, ศูทร และจัณฑาล คงจะไม่ขอกล่าวถึงในรายละเอียดปลีกย่อย แต่คงกล่าวได้ว่าการแบ่งแยกชนชั้นออกดังนี้ก็คือการล้างสมองคนทั้งชาติเพื่อครอบครองอำนาจต่อไปตลอดกาล ตราบเท่าที่ความเชื่อในเรื่องที่ไม่มีตัวตนและไม่สามารถจับต้องได้ยังคงมีอยู่เช่น เรื่องเทพเจ้้า, เรื่องบุญกรรม, เรื่องวาสนาบารมี, ฯลฯ ในเชิงรัฐศาสตร์การปกครองแล้วมนุษย์นั้นล้วนมีความเท่าเทียมกันภายใต้การปกครองเดียวกัน โดยมีผู้ที่ใช้อำนาจการปกครองนั้น และด้วยความยินยอมของผู้ได้การปกครองเอง ซึ่งความยินยอมของผู้ใต้การปกครองนั้นอาจจะได้มาโดยความเต็มใจหรือไม่เต็่มใจก็ได้....ประเทศไทยได้รับเอาลักษณะความเชื่อแบบผสมผสานมาจากทั้ง อินเดีย, เขมร และหลายท้องถิ่น แต่โดยรวมแล้วประชาชนไทยเชื่อในเรื่องของ บุญญาบารมี, ชาติภพ, บุญกรรม, ฯลฯ โดยอิงความเป็นความเชื่อที่สอดคล้องกับหลักคำสอนใน “พระพุทธศาสนา” จนทำให้มีผู้คนจำนวนมากที่ยอม “ศิโรราบ” ต่อความไม่เท่าเทียมกันของการ “กำเนิด” มาตั้งแต่เบื้องต้น โดยเชื่อว่าการที่ตนเองเกิดมา “ด้อยกว่า หรือ ต่ำกว่า” นั้นเป็นเพราะเกิดมาจาก “กรรมเก่า หรือ ไม่มีวาสนา” จนถึงกัึบมีคำกล่าวเอาไว้เหมือนกฎหมายปิดปากว่า “แข่งเรือแข่งพายนั้นแข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนานั้นแข่งไม่ได้” ซึ่งจริงหรือเปล่าไม่รู้แต่ที่แน่ ๆ ทำให้คนไทยจำนวนมากยอมรับความยากจน และความลำบากชั่วชีวิตโดยดุษฎี เพราะ “ไม่กล้าแข่งวาสนา” ระบอบการปกครองแบบอมาตย์และชนชั้นนั้น ทำให้มนุษย์ทั่ว ๆ ไปเป็นเพียง “สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง” ที่ไม่เท่าเทียมกับชนชั้นผู้ปกครอง อาจจะมีค่าด้อยกว่า “สัตว์เลี้ยงบางตัว” ของชนชั้นผู้ปกครองด้วยซ้ำ....ทั้ง ๆ ที่ในทางกายภาพและปัจจัยพื้นฐานแล้ว ระหว่างชนชั้นผู้ปกครองและผู้อยู่ใต้การปกครอง ไม่มีสิ่งใดแตกต่างกันเลยแม้แต่น้อยเพราะต่้างก็ต้อง กิน, ดื่ม, หิว, ง่วง, นอน, เจ็บป่วย, ทุกข์ยาก, ยิ้มหัีว, สุข, เศร้าหมอง ฯ ด้วยกันทั้งนั้น... “เจ้าชายสิทธัตถะ” ทรงเล็งเห็นถึงความจริงในข้อนี้ จึงได้ทรงละความเป็นชนชั้นปกครองของพระองค์ และแสวงหาความเป็นจริงแห่งโลกที่จะเป็นภารดรภาพอันแท้จริง และในทีสุดก็ได้ค้นพบว่า “ความสงบเย็นในร่มพระบวรพุทธศาสนา” จะเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ทั้งโลกเป็นพี่น้องกันและเท่าเทียมกันอย่างสมบูรณ์ โดยปราศจากระบบชนชั้นทั้งมวล น่าเสียดายที่ประเทศไทยได้ทำให้ความเชื่อและความศรัึทธาอันสูงส่งของพระองค์เบี่ยงเบนไป โดยนำเอาไปปะปนกับศาสนาพราหมณ์ และเมื่อระยะเวลาอันยาวนานของประวัิติศาสตร์ผ่านไป ก็แทบแยกไม่ออกว่าอะไรคือ พุทธแท้ อะไรคือ พราหมณ์ที่ปนเข้ามา เพราะเกือบจะกลายเป็นความเชื่อใหม่ที่เรียกได้ว่า “พุทธก็ไม่ใช่ พราหมณ์ก็ไม่เชิง” และที่สำคัญโดยการ “โฆษณาชวนเชื่อ” ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ประชาชนไทยถูกล้างสมองมาโดยตลอด ทำให้ยิ่งสนับสนุน “ความเชื่อ” ที่ว่า “มนุษย์เกิดมาไม่เท่าเทียมกัน” มากยิ่ิงขึ้น ด้วยเหตุนี้พวกเราทุกคนที่เป็นคนไทยทั้งชาติจะต้อง “มีสติ” ยั้งคิดถึงสิ่งที่เป็นจริงในแง่ของเชิงกายภาพที่เกิดขึ้นจริง “ค่อย ๆ พิจารณา” ถึงสิ่งที่กำลังได้รับและกำลังซึมซับเข้าไปสู่สมองว่า “สิ่งนั้นเป็นความจริง หรือเป็นความเชื่อ” แน่นอนว่า “ความเชื่อบางกรณีเป็นความจริง” แต่ขณะเดียวกัน “ความจริงบางอย่างก็ไม่ได้เป็นไปตามความเชื่อเช่นกัน” ถ้ามีใครบอกท่านว่า “เดวิด คอปเปอร์ฟิล” เดินทะลุกำแพงเมืองจีนได้ ท่านอาจจะบอกว่าได้ว่าเป็นความจริงแต่ท่านคงจะไม่เชื่อจริง ๆ อย่างแน่นอน เพราะความจริงดังกล่าวเกิดจากการ “แสดงมายากล” เท่านั้น การปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น เกิดจากความคิดพื้นฐานที่ว่า “มนุษย์ทุกคนนั้นเกิดมาเท่าเทียมกัน” และทุกคนมีสิทธิ์และเสรีภาพเหมือน ๆ กัน ถ้าได้รับโอกาสเท่า ๆ กัน มนุษย์ไม่จำเป็นต้องเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงบางชนิดของผู้ปกครอง (ถ้าเขาไม่ต้องการจะเป็น) การใช้ “สติ” พิสูจน์ให้เห็นความจริงที่เป็นจริงของชีวิต ไม่ใช่เกิดจาก “จินตนการณ์” ทางความเชื่อ ถ้าประชาชนไทยทุก ๆ คนเข้าใจอย่างแท้จริงโดยไม่เกิดการหลงใหลไปตามความเชื่อที่ครอบงำมานาน พวกเขาก็จะมองเห็นได้เองว่า “มนุษย์นั้นแท้ที่จริงแล้วก็มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน” มีความต้องการพื้ันฐานที่เหมือน ๆ กัน แต่ระบอบอมาตย์และระบบชนชั้นนั้นได้มาแบ่งแยก และกีดกันประชนชนออกไปจากอำนาจปกครองนั้น แล้วฉกฉวยผลประโยชน์จาก “หยาดเหงื่อแรงงาน” ของผู้อยู่ใต้การปกครองอย่างไม่เป็นธรรม ด้วยเหตุนี้ การต่อสู้เพื่อนำประชาธิปไตยกลับมาสู่ประเทศในครั้งนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่พี่น้องคนไทยทั้งหลายจะต้อง “เปลี่ยนความคิด” และ “มุมมอง” ในเรื่องชีวิตเสียใหม่ โดยมองชีวิตและเรื่องการปกครองในแนวทาง “รัฐศาสตร์ที่เป็นจริง” มิใช่มองเรื่องการปกครองเป็นเรื่ือง “จินตนาการณ์ที่เพ้อฝัน” การที่ประชาชนทั้งมวลจะมีความสุึขได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ก็หมายความว่าประชาชนทุก ๆ คนจะต้องมีสิทธิ และเสรีภาพอันสมบูรณ์ในการปกครองตนเอง มิใช่อาศัย “ผู้วิเศษ” มาปกครองประเทศนี้ เพราะประชาชนไทยคงไม่ต้องการ “ผู้วิเศษ” หน้าไหนมาชี้ทางสว่างให้อีกแล้ว ปูนนก
บทความ โดย ปูนนก