ที่มา thaifreenews
บทความ โดย ปูนนก
เมื่อพูดถึง “กามิกาเซ” คงไม่มีใครที่จะไม่รู้จักแม้จะไม่ใช่คนญี่ปุ่นก็ตาม “กามิกาเซ” เป็นภาษาญี่ปุ่น หมายถึง “ลมแห่งเทพเจ้า” ซึ่งชาวญีุ่ปุ่นเชื่อว่าเทพเจ้่าเป็นผู้นำพามาเพื่อชัยชนะในสงครามสมัยรบกับมองโกล และในสงครามโลกครั้งที่สอง ฝูงบินรบของญี่ปุ่นก็บินโจมตีแบบฆ่าตัวตายต่อกองทัพอเมริกัน ก็ใช้ชื่อว่า “กองบินกามิกาเซ” เช่นกัน
กรณีการกล่าวอำลาการทำงานของนายสุเมธ อุปนิสากร ก็เช่นเดียวกัน คงจะมีเพียงนายสุเมธ เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะทราบว่าเหตุใดเขาจึงพูดอย่างเปิดอกในวันอำลาตำแหน่ง กกต. ในประโยคที่ว่า “ผมยอมรับว่า กกต.ชุดนี้เป็นของปลอม เพราะตั้งโดย คมช. ไม่ได้ถูกตั้งมาตามรัฐธรรมนูญหรือได้รับการโปรดเกล้าฯ”
ถ้าดูอย่างผิวเผินก็อาจจะมองได้ว่า นายสุเมธ ต้องการให้สังคมได้รับความชัดเจนและเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า กกต. นั้นไม่่มีความชอบธรรมในการทำงาน และตัวนายสุเมธ เองก็ไม่เห็นด้วยในกรณีนี้.... แต่ไม่ว่าจะอย่างไรแม้นายสุเมธ จะเห็นด้วยกับการแต่งตั้ง กกต. โดยอำนาจของ คมช. หรือไม่ก็ตาม แต่เขาก็ได้ยอมรับตำแหน่งนี้และทำงานมากว่า 2 ปี โดยไม่เคยพูดถึงประเด็นนี้มาก่อนแต่อย่างใด
คงยากที่จะกล่าวได้ว่านายสุเมธ อุปนิสากร จะเห็นด้วยกับแต่งตั้ง กกต. ว่าเป็นของแท้หรือของปลอมหรือไม่ ??.... แต่ตัวนายสุเมธ เองก็ยอมรับกับการแต่งตั้งนั้นและอยู่ในตำแหน่งมาจนครบวาระที่กฎหมายกำหนดไว้ และที่สำคัญยังได้เป็นคณะกรรมการในการพิจารณาตัดสินคดีความทางการเมืองหลายต่อหลายเรื่องที่มีความสำคัญไม่น้อย
มีความประจวบเหมาะที่น่าจะพิจารณาอยู่หลายประเด็นด้วยกันคือ ประการแรก สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มชนสองฝ่ายคือ ฝ่ายนิยมอมาตย์ (เสื้อเหลือง) และฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตย (เสื้อแดง) ได้ก้าวมาสู่จุดที่กระแสเรียกร้องประชาธิปไตยกำลังแพร่ขยายไปทั่วทั้งประเทศ ประการที่สอง แรงบีบคั้นทางการเมืองเรื่องความไม่เป็นประชาธิปไตยของชาติจากประเทศมหาอำนาจกำลังพุ่งสู่รัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่อง ประการที่สาม ปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังรุมเร้าในทุก ๆ ด้านของประเทศ และประการสุดท้าย รัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ กำลังประสบกับปัญหาทางการเมืองเรื่องความชอบธรรม และการบริหารประเทศ ซึ่งอนาคตในการคงอยู่ของรัฐบาล “เทพประทาน” คงจะอยู่ได้อีกไม่นานนัก
พูดง่าย ๆ ก็คือ รัฐบาลของอภิสิิทธิ์ ผู้ได้รับอำนาจมาจากเผด็จการอมาตย์ กำลังอยู่ในระยะที่จะถึงทางตันและกำลังจะต้องสิ้นสุดลงในไม่ช้า และถ้าเมื่อใดรัฐบาลเทพประทานต้องสิ้นสุดลง ฝ่ายเผด็จการก็จะต้องสูญเสียอำนาจในทางการเมืองลงอย่างไม่ต้องสงสัย และโอกาสที่จะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้กลับมามีอำนาจในการปกครองประเทศอีกโดยการเลือกตั้งคงเป็นไปได้ยาก และสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พวกเผด็จการอมาตย์ “จะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้โดยเด็ดขาด”
ไม่ว่าจะอย่างไรนายสุเมธ อุปนิสากร ก็ได้ยอมรับเป็นผู้ร่วมมือกับอำนาจเผด็จการในการไล่ล่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งประเทศ ดังนั้นการยอมประกาศว่า “กกต. ชุดนี้เป็นของปลอม” ก็เป็นเพียงการ “วางระเบิดทางการเมือง” โดยใช้ตนเองเป็นผู้ผูกระเบิดนั้นเหมือนปฏิบัติการ “กามิกาเซ” นั่นเอง...คำพูดของนายสุเมธ ทำให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจในการจัดการเรื่องการเมือง ในเมื่อ กกต. มีที่มาไม่ถูกต้อง และไม่สามารถหากฎหมายใดมารองรับในการมีอยู่ของ กกต.ได้ และถ้าเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง จะต้องให้มีการเลือกตั้งขึ้นใหม่ในเร็ว ๆ นี้ กกต. ซึ่งถูกตั้งข้อสงสัยจากประชาชน โดยคำกล่าวของ นายสุเมธ เอง ก็จะไม่มีความชอบธรรมเพียงพอที่จะเป็นผู้จัดการเลือกตั้งในครั้งนี้ได้ ประชาชนผู้เบื่อหน่ายกับสถานการณ์การเมืองและภาวะเศรษฐกิจที่รุมเร้ารอบด้าน ก็จะไม่มีทางออกนอกจากจะต้องยอมรับการเกิดขึ้นของ “รัฐบาลแห่งชาติ หรือรัฐบาลสมานฉันท์” หรืออะไรก็ตามที่มีความหมายเดียวกัน ที่จะมีมาถึงโดย “ผู้มีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ”
เผด็จการอมาตย์ไม่เคยเปลี่ยนเป้าหมายหรือความตั้งใจที่จะต้องให้ประเทศไทยมี “รัฐบาลแห่งชาติหรือที่เรียกว่าการเมืองใหม่” โดยไม่ผ่านการเลือกตั้งของประชาชน เพราะพวกเขารู้อยู่ว่าประชาชนไม่สามารถยอมรับอำนาจการปกครองโดยเผด็จการอมาตย์ได้อีกต่อไป แต่ที่ยัีงไม่เกิดการแตกหักหรือเกิดการปะทะด้วยกำลังกันระหว่างประชาชนสองฝ่ายก็เพราะว่า ประชาชนไทยที่ถูกโฆษณาชวนเชื่อมานานหลายสิบปี ยังคงมีความรักและศรัทธาใน “ตัวบุคคล” บางคน ในโครงสร้างของระบอบเผด็จการอมาตย์อยู่อย่างเหนียวแน่น
วิธี “กามิกาเซ” ของนายสุเมธ ในครั้งนี้ส่งผลให้เกิดแรงกระเพื่อมอย่างรุนแรงในเรื่องความชอบธรรมในการทำงานของ กกต. เกิดความกระอักกระอ่วนในการพิจารณาอรรถคดีทางการเมืองใด ๆ นับจากนี้ต่อไป หรือแม้กระทั่งที่ผ่านมาแล้ว และไม่เพียงแค่การพิจารณาอรรถคดีเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงอำนาจหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นอนาคตอันใกล้นี้ด้วย
นี่คือ “แผนการ” อันแยบยลที่ฝ่ายอมาตย์จะสร้างความชอบธรรมในการที่จะให้เกิด “รัฐบาลแห่งชาติ” ขึ้นในประเทศนี้ และเ็ป็นที่แน่นอนว่าพี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายคงจะไม่อาจยอมรับการครอบครองอำนาจอย่างไม่ชอบธรรมในลักษณะนั้นได้อีกต่อไปอย่างแน่นอน
ขณะนี้สนธิ ลิ้มทองกุล กำลังปลุกระดมกับคนไทยทั้งชาติให้มีจินตนาการณ์ถึงความเป็นศัตรูกันระหว่างชนไทยกับชนชาติพม่าในอดีต โดยอ้างว่าตนเองเป็น "ทหารเอกของพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชผู้กู้ชาติ" มาปลุกระดม และกล่าวหาโดยใช้จินตนาการณ์ร่วมว่า “พวกเสื้อแดงเป็นพม่า” กลับชาติมาเกิด นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นมาเมื่อ 400 ปีล่วงมาแล้ว การปลุกระดมลักษณะที่เอาอดีตมาเป็นเครื่องมือนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเผด็จการอมาตย์หมดทางที่จะหาเหตุที่เป็นปัจจุบันมากล่าวโจมตี ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยได้อีกต่อไป... ขณะเดียวกันก็กำลังยุยงให้คนไทย “เกลียดชัึงและเข้าห้ำหั่นกัน” โดยปราศจากเหตุผล เพื่อนำให้สถานการณ์ของประเทศเข้าสู่สภาวะความรุนแรง และในที่สุดก็เรียกร้องให้เกิดรัํฐบาลแห่งชาติ
พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน ประเทศไทยของเรานี้กำลังจะเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ แต่การเปลี่ยนผ่านนี้จะต้องผ่านความเจ็บปวดและทุกข์ยาก... “ประชาธิปไตยไม่เคยได้รับมาโดยการร้องขอจากเผด็จการ” สิ่งที่เกิดขึ้นมาในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมานี้ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเผด็จการอมาตย์ “ไม่เคยรักหรือเ็ห็นแก่ประชาชนในชาติเลยแม้แต่น้อย” พวกเขามองประชาชนในชาตินี้เป็นเพียง “ไพร่, พลเมือง” ของประเทศนี้เท่านั้น และ “ไพร่” ก็มีหน้าที่เพียงกระทำทุกสิ่งที่ผู้ปกครองต้องการ และยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกอมาตย์จะยื่นให้โดยไม่มีข้อต่อรอง
ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุก ๆ คนต้อง “ตัดสินใจ” ที่จะเลือกว่า “จะอยู่ในประเทศนี้โดยมีสามารถที่จะเป็นผู้เลือกการปกครองตนเองได้โดยอิสระ” หรือจะเลือกว่า “จะอยู่ในประเทศนี้อย่างเป็นผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครองที่เผด็จการหยิบยื่นให้ตลอดไป” ไม่มีใครเลือกแทนท่านได้ นอกจากจิตสำนึกในความเป็นอิสระและผู้รักประชาธิปไตยในตัวของท่านเท่านั้นที่จะบอกท่าน....
และเมื่อจิตสำนึกเหล่านั้นได้บอกกับท่านในจิตใจของท่านแล้ว “ท่านจะรู้ได้เองว่าท่านควรจะกระทำสิ่งใดสำหรับประเทศไทยที่ท่านรักนี้”