ที่มา Thai E-News
โดย คุณ นารายณ์ พรหมพิษณุ
ที่มา เวบไซต์ โลกวันนี้
7 มีนาคม 2552
ถึงจะเกรงใจกันอย่างไร? แต่คงต้องพาดพิง และวิพากษ์วิจารณ์ให้เห็นว่า ลักษณะการขับเคลื่อนลงสู่ภาคปฏิบัติ นับตั้งแต่หลัง 19 กันยายน 2549 โดยแท้จริงแล้ว มันมีเนื้อหาเช่นไร?
ประเด็นนี้ ผู้ที่สนใจอาจจะพอสรุปได้ ...ภายหลังการรัฐประหารเสร็จสิ้นใหม่ๆ ด้วยอำนาจของ คมช. จนถึงการขึ้นสู่อำนาจของรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
คนไทยดูเหมือนจะคุ้นเคยมากขึ้น กับความหมายของ “ระบอบอำมาตยาธิปไตย”
ระบอบอำมาตยาธิปไตย อธิบายง่ายๆ ให้เข้าใจได้ว่า เป็นกลไกและระบอบในการบริหารประเทศ และขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ โดยการอาศัยระบบราชการเป็นศูนย์กลาง
นี่เป็นคำอธิบายในด้านทั่วไปของอำมาตยาธิปไตย แต่ความจริงแล้ว อำมาตยาธิปไตยที่เกิดขึ้นในสังคมไทย นับตั้งแต่ภายหลัง 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา เป็นอำมาตยาธิปไตยในอีกลักษณะหนึ่ง มีความเป็นลูกผสม เป็นแบบกึ่งๆ หรืออาจจะทำความเข้าใจใหม่ให้เป็น “อำมาตยาธิปไตยชนิดหัวมังกุท้ายมังกร” ซึ่งคงต้องมองแบบฉบับ หรือบทเรียนที่แตกต่างออกไปจากตำราหลัก
อำมาตยาธิปไตยในอัตลักษณ์ไทยๆ จึงยังมีส่วนผสมของอภิชนาธิปไตย ซึ่งความจริงอธิบายไปเพียงเท่านี้ก็หาได้ครอบคลุมอย่างทั่วถึง ของเนื้อหาที่ดำรง และมีสภาวะดิ้นได้อยู่จริงในหนทางปฏิบัติ
อำมาตยาธิปไตยที่เราหมายความเอาไว้ ยังอาจแปลอีกอย่างว่า เป็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่หลอกลวงชาวโลก หรืออาจเรียกให้เป็นถ้อยคำที่คุ้นเคยอย่าง “เผด็จการซ่อนรูป”
ความโดยสรุปก็คือ ตัวตนและเนื้อหาแท้จริงของอำมาตยาธิปไตยที่ร่วมสมัยอยู่ในประเทศไทย เราจะเรียกให้เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น ซึ่งดูเหมือนมันก็พร้อมที่จะดิ้นรนเข้าไปอยู่อาศัย ภายในคราบของสัตว์ชนิดใดก็ได้... เป็นอะไรทุกอย่าง ยกเว้นจะกลายเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง?
เมื่อเข้าใจพื้นฐานเช่นนั้น จึงตระหนักได้ถึงธาตุจริงของระบอบการปกครองในประเทศไทย ซึ่งขับเคลื่อนบ้านเมืองมาจนปัจจุบัน กระทั่งรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปัจจุบันเช่นนี้ กำลังจะแปลความหมายว่า
“แม้ได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาล แต่หาได้เป็นรัฐบาลตัวจริง เพราะยังมีเงาของอำมาตยาธิปไตยตามที่กล่าวถึงข้างต้น คอยเป็นผู้บงการ และตัดสินในเกมได้เสีย ที่เป็นของจริง”
ความหมายดังกล่าวก็คือ การเกิดอำนาจเครือข่ายซ้อนรัฐ
รัฐบาลไม่ได้มีสภาพอะไร ที่แตกต่างไปจากการเป็นนอมินี ของบรรดาอำนาจที่อยู่นอกเหนือระบบออกไป!
ข้อเขียนชิ้นนี้ กำลังบอกว่า ในการบริหารอำนาจ ที่มีรัฐบาลเป็นมิตินอมินี อาจเรียกให้เกียรติกันสักนิดคงต้องบอกให้เป็น “กลไกที่ถูกสร้างเป็นทางการ”
อำนาจนอกระบบ ที่เราอาจเข้าใจให้เป็นอำมาตยาธิปไตยในแบบฉบับ อำนาจนำไทยแท้ นอกจากจะใช้รัฐบาลเป็นนอมินี ในลักษณะของการเป็นเครื่องมือในด้านหนึ่ง ...แต่ด้านที่สำคัญกว่า เห็นจะได้แก่การใช้กลไกราชการ เป็นเครื่องมือโดยตรง
ถ้าสังเกตการณ์ด้านลึก ก็อาจมองย้อนไปอีกสายตา จะเห็นชัดเจนถึงธาตุที่แท้จริงของรัฐบาลในระบอบเช่นนี้ ไม่มีค่าอะไรที่แตกต่างไปจากการเป็นเพียงกลไกด้านหนึ่ง ของอำนาจนอกระบบ ซึ่งสุดแท้แต่ผู้ใดจะเรียกชื่อของอำนาจเครือข่ายเหล่านั้นว่า “มันมีนามว่าอะไร?”
ความเข้าใจเช่นนี้ ดูออกจะหยามเหยียดความเป็นรัฐบาลมากเหลือเกิน แต่ความจริงมันก็เป็นเช่นนั้น เพราะในกลไกที่อำนาจนอกระบบ ได้นำมาใช้ควบคู่กันไป กับการอาศัยคณะรัฐมนตรีเป็นทางผ่าน
อำนาจเครือข่าย หรืออำนาจนอกระบบเหล่านั้น ยังใช้กลไกราชการ เป็นเครื่องมือในอีกด้าน อาจกระทำจนถึงขั้นเข้าไปแทรกแซงและสั่งการโดยตรง ไม่จำเป็นจะต้องผ่านวัฒนธรรมและระบบสั่งการต่างๆ ของรัฐบาล
นอกจากอำนาจนอกระบบ ได้สั่งการผ่านรัฐบาล แล้วให้รัฐบาลได้อาศัยความเป็นนอมินี เข้าไปสั่งการกลไกทางราชการตามใบสั่งที่ถูกมอบหมายมาอีกต่อหนึ่ง?
การแทรกแซงระบบราชการโดยตรง ยังถูกกระทำอีกบ่อยครั้ง! จนถึงรัฐบาลของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นที่เชื่อว่า นอกจากจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ก็ยังมีการประชุมคู่ขนานกันไป ที่อยู่พ้นจากการรับรู้ข่าวสารของประชาชน ...เห็นจะเป็นการประชุมในระดับปลัดกระทรวงทุกๆ กระทรวง ซึ่งนอกจากจะมีนายกรัฐมนตรีนั่งประชุมอยู่ร่วมด้วย ก็ยังมีฝ่ายตัวแทนของอำนาจนอกระบบ เข้ามาร่วมประชุม และสั่งการในสาระที่สำคัญๆ
บรรดาผู้ที่ล่วงรู้ความจริงข้อนี้ ได้เอ่ยถึงฝ่ายตัวแทนดังกล่าวนั้นว่า “ซูเปอร์ปลัดกระทรวง”
ผู้สังเกตการณ์ด้านลึกในวงการ จึงค่อนข้างสรุปและเห็นชอบว่า
สถานะของรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรี น่าจะเป็นเพียงนอมินีด้านหนึ่งของอำนาจนอกระบบ
แล้วยังคาดหมายได้ว่า การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี ยังจะต้องสู้ยอมรับต่อประกาศิตของซูเปอร์ปลัดกระทรวง ที่คอยควบคุมสั่งการซ้อน ผ่านลงไปตรงยังกลไกข้าราชการ...
นี่คือเรื่องจริงที่แปลกเกินกว่าสุดขอบฟ้า เป็นระบอบการปกครองอะไรก็ไม่รู้?
อำนาจนอกระบบ กับในระบบ กลายเป็นสิ่งเดียวกันเสียแล้ว!!