วันเสาร์สบายๆวันนี้ ผมขอนำ “ข้อคิด” ที่เข้ากับสถานการณ์ เศรษฐกิจในช่วงนี้มาฝากท่านผู้อ่านสักสองสามข้อครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก จากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจโลก ที่กำลังส่งผลกระทบการดำรงชีวิตประจำวันของเรารุนแรงขึ้นทุกวัน
เป็นข้อคิดที่ใช้ได้ทั้ง ประชาชนทั่วไป และ รัฐบาลนายกฯมาร์ค
สองวันก่อน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ เพิ่งส่งสัญญาณเอสโอเอสเตือนภัยว่า “คลื่นลูกที่สาม” จากวิกฤติเศรษฐกิจ กำลังจะเข้าถล่มประเทศที่ยากจนแล้ว หลังจาก คลื่นลูกแรก ถล่มประเทศพัฒนาแล้ว คลื่นลูกที่สอง ถล่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว
วันนี้ไทยก็เริ่มโดนแล้ว เมื่อ “การว่างงาน” เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และขยายไปในวงกว้างในแวดวงธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ
ข้อคิดนี้ ส่วนหนึ่งผมนำมาจากหนังสือ ศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงเพื่อความสำเร็จอี้จิง ของ คุณมนตรี ภู่มี ลองอ่านกันดูครับ
“ปัญหาใหญ่หลวงในชีวิตนั้น มักเกิดมาจากการที่เราทำตัวคล้ายกับปลา คือเอาแต่กระเสือกกระสนแหวกว่าย “ไปข้างหน้า” อยู่ถ่ายเดียว เมื่อเกิดปัญหาร้ายแรงขึ้นครั้งคราวใด เราก็เอาแต่พยายาม “ดัน” ไปข้างหน้าเรื่อยๆ จนทำให้ยิ่งเกิดผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าหนักขึ้นไปอีก
ไม่ต่างอะไรกับการตกอยู่ในบ่อทรายดูด ยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งจมลึก
สิ่งที่อี้จิงแนะนำเราคือ แค่เพียงรู้จัก “ปล่อยวาง” ปัญหา และหยุดกระเสือกกระสนดิ้นรน บางทีทุกอย่างอาจจบลงด้วยดี หรืออย่างน้อยเราก็ไม่ถูกดูดจนจมลึกยิ่งไปกว่าเดิม
ฟังครั้งแรก นี่อาจเหมือนการรามือท้อถอยไม่ยอมสู้ ทว่าสิ่งสำคัญก็คือใน “สภาพจิต” เยี่ยงนั้น ไม่มีทางเลยที่เราจะแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้น ในสภาพจิตดังว่า เราไม่มีทางหยั่งรู้ หรือประเมินผลของการต่อสู้นั้นๆเลยว่า มีคุณค่าควรหรือไม่...”
อีกท่อนหนึ่งของศาสตร์อี้จิงบอกว่า
“การมีความรับผิดชอบต่อตัวเองนั่นแหละ จึงจะเป็นวิธีรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่ดีที่สุด กล่าวคือให้รู้จักวกกลับมา “มองข้างใน” หมายถึงว่า หากเราสามารถปรับเปลี่ยน “ด้านใน” ให้มีความคิดเห็นที่ถูกต้องแล้ว นั่นย่อมนำไปสู่ การตัดสินใจที่ถูกต้อง และ การกระทำที่ถูกต้อง ก็จะตามมาเองโดยธรรมชาติ
ในมุมกลับกัน การกระทำที่ถูกต้องนั้นๆ ย่อมส่งผลย้อนกลับมาที่ด้านในอีกครั้ง โดยทำให้มีความคิดเห็นและการตัดสินที่ถูกต้องยิ่งๆขึ้นในคราวต่อไป เพราะได้เห็นผลในแง่ปฏิบัติแล้วนั่นเอง”
เป็นยังไงครับ ข้อคิดจากอี้จิงน่าสนใจปฏิบัติไหม
ผมก็ได้แต่หวังว่า นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะรู้จักวกกลับไป “มองข้างใน” คณะรัฐมนตรี ที่กำลังเริ่มมีเรื่องที่ไม่ค่อยชอบมาพากลขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ “หัวไม่ส่าย” แล้วจะสามารถ “ควบคุมหางไม่ให้ส่ายด้วย” ได้หรือไม่ ถ้าควบคุมได้ ก็จะส่งผลต่อการบริหารประเทศ และแก้ปัญหาของชาติได้อย่างมหาศาล ไม่ใช่แก้ไปแทะไปบ้านเมืองก็ไม่รอด
ข้อคิดสำคัญอีกข้อที่ผมเคยเขียนไปแล้วในคอลัมน์นี้ก็คือ “การรู้จักถอย” ซึ่ง วลาดิมีร์ เลนิน ปรมาจารย์มาร์กซิสก็เคยสอนพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซียไว้ว่า
“พรรคปฏิวัติต้องทำการเรียนรู้ให้ครบถ้วน พวกเขาเรียนรู้วิธีการรุกแล้วต้องรู้วิธีถอยด้วย พวกเขาต้องรู้ว่า ชัยชนะนั้นไม่อาจได้มาเลย ถ้าพวกเขาไม่ได้เรียนรู้ทั้งวิธีรุกและวิธีถอย”
ข้อคิดเหล่านี้ ถ้ารู้จักนำไปประยุกต์ใช้ ผมเชื่อว่าจะเกิดประโยชน์ต่อตนเอง และประเทศชาติแน่นอน ขอให้ทุกท่านจงโชคดี ฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่งครับ.
“ลม เปลี่ยนทิศ”