ที่มา มติชนออนไลน์
"สดศรี"ออกโรงซัด"สุเมธ"ของขึ้น ต่อว่ากกต.ของปลอม สวนกลับถ้าไม่ดีจริงรับตำแหน่งแต่แรกทำไม "สุเมธ"อำลาตำแหน่งขอคนที่มีความรู้รัฐศาสตร์มาดูแลพัฒนาองค์กร เพราะมีแต่นักกฎหมายบริหารไม่ถนัด ทำให้งานล่าช้า ยอมรับว่า กกต. ชุดนี้เป็นของปลอม ถูกตั้งโดย คมช. แต่"กฎหมายเปิดโอกาสให้ทำได้
นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงกรณีที่นายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วม ออกมาวิจารณ์การทำงานของกกต. ก่อนหมดวาระว่ากกต.ชุดนี้เป็นของปลอม ว่า นายสุเมธคงไม่เข้าใจความจริง เพราะกกต.ถูกแต่งตั้งโดยคณะคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ดังนั้น หากกกต.เป็นของปลอม นายสุเมธก็เป็นของปลอมด้วย
"การสรรหา ส.ส.และ ส.ว.ที่ผ่านกระบวนการ กกต. ก็ต้องถือเป็นของปลอมทั้งหมดใช่หรือไม่ เหตุใดตอนรับการแต่งตั้งนายสุเมธ จึงไม่โต้แย้ง แต่กลับรับตำแหน่ง จึงสงสัยว่าการพูดก่อนพ้นวาระเป็นอาการของคนของขึ้นหรือไม่" นางสดศรี กล่าว
นางสดศรี กล่าวว่า ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่ง กกต. ไม่จำเป็นต้องได้คนที่มาจากสายรัฐศาสตร์ ตามที่นายสุเมธกล่าวอ้างเสมอไป เพราะคนที่เป็นผู้พิพากษาและเป็นผู้รู้กฎหมาย ก็สามารถเป็นกกต.ได้ ส่วนการวินิจฉัยคดีต่างๆ หลังจากเหลือ กกต. 4 คน นางสดศรี เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา เพราะ กกต.ชุดก่อนเหลือคณะทำงาน 4 คน ก็สามารถทำงานได้ ก่อนหน้านี้ นายสุเมธ อุปนิสากร กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ด้านกิจการการมีส่วนร่วม เปิดใจในงาน “กกต.พบสื่อมวลชน 899 วัน บนเส้นทางการขับเคลื่อนภารกิจเพื่อชาติ” ที่สำนักงาน กกต. เมื่อวันที่ 2 มี.ค. เพื่อเป็นการอำลาการพ้นวาระของนายสุเมธ ในวันที่ 8 มีนาคมนี้ เพราะมีอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 232 วรรคสาม ว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะไม่ร่วมเข้าประชุมกกต. เพราะจะได้ไม่ต้องเซ็นคำวินิจฉัยหลังจากสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ อยากให้ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่ง กกต.ที่จะเข้ามานั้นมาจากสายรัฐศาสตร์ เพราะจะได้มาช่วยกันพัฒนาและจัดรูปแบบองค์กร เนื่องจากตอนนี้ที่มีอยู่เป็นนักกฎหมายผู้พิพากษา อัยการ ซึ่งไม่ถนัดงานบริหารงาน ทำให้การจัดงานฝ่ายบุคคลล่าช้า ส่วนการเมืองหลังจากนี้น่าจะดีขึ้น ดวงเมืองน่าจะดีขึ้น วิกฤตต่างๆน่าจะหายไป ทุกคนอยากเห็นบ้านเมืองสงบ ไม่ว่าจะรักสีอะไรก็อยากให้บ้านเมืองสงบกันทั้งนั้น ทุกคนก็ไม่อยากให้ลูกหลานลำบาก หากยังคงเป็นอย่างนี้ต่อไปอนาคตจะเป็นอย่างไร นายสุเมธ กล่าวว่า ขณะนี้ยังอาจมีปัญหาข้อกฎหมายว่า เมื่อตนพ้นจากตำแหน่งแล้ว ใครจะเป็นผู้ทำหน้าที่สรรหา เพราะตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 231 ระบุถึงการสรรหา กกต. ว่ามี 2 ส่วนคือ มาจากส่วนของคณะกรรมการสรรหาจำนวน 3 คน และ ส่วนของ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจำนวน 2 คน แล้วจึงเสนอให้วุฒิสภารับรอง แต่ทั้งนี้ เมื่อครั้งที่มีการแต่งตั้งให้ตนเป็นกกต.ในขณะนั้นเป็นช่วงที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ออกประกาศ คปค.แต่งตั้งเมื่อปี 2549ให้กกต.ชุดนี้เข้ามาทำหน้าที่ ทำให้ไม่สามารถระบุได้ว่า จะมาจากส่วนใดที่รัฐธรรมนูญกำหนด และใครจะเป็นผู้คัดเลือกหากตนพ้นจากตำแหน่งไป และหากจะใช้มาตรา 7 ที่บอกว่า หากไม่มีบทบัญญัติใดให้ดำเนินการตามประเพณี ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่เคยมีประเพณีมาก่อน เพราะเรามี กกต. ตามรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2540 จะมองเป็นประเพณีได้หรือไม่ แต่เราก็ไม่เคยมีการบัญญัติแยกที่มาอย่างนี้เหมือนกัน ทั้งนี้ตนมองว่าเรื่องนี้ถึงที่สุดแล้วอาจะต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตีความ “ผมยอมรับว่า กกต. ชุดนี้เป็นของปลอม เพราะถูกตั้งโดย คมช. ไม่ได้ถูกตั้งมาตามรัฐธรรมนูญหรือได้รับการโปรดเกล้าฯ เรื่องนี้ไม่ขอโต้เถียงใครที่กล่าวหา แต่ผมเห็นว่าแม้ไม่ได้มาตามรัฐธรรมนูญแต่กฎหมายก็เปิดโอกาสให้ทำได้” นายสุเมธ กล่าว เมื่อถามว่า มองว่าอนาคตของตุลาการภิวัฒน์หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร นายสุเมธ กล่าวว่า เรื่องนี้พูดยาก แต่หากบ้านเมืองเรียบร้อยอยากเห็นตุลาการกลับเข้ากรมกอง ชีวิตการเป็นศาลกับการอยู่ข้างนอกไม่เหมือนกัน หากออกมามากๆกลัวจะเหลิง เพราะการเมืองต้องเจอหลายประเภท และการที่ศาลจะกลับได้ต้องอยู่ที่การแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งการจะแก้ได้ก็ต้องให้บ้านเมืองสงบ โดยรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับก็จะเหมาะกับสถานการณ์ในขณะนั้น รัฐธรรมนูญปี 2550 ก็เหมาะกับการแก้ปัญหาช่วงนั้น หรือ มาตรา 237 เรื่องการยุบพรรค เมื่อมาถึงตอนนี้ก็ต้องดูว่าสมควรหรือไม่ เช่นผู้จัดการทำผิดจำเป็นต้องยุบบริษัทเลยหรือ การให้ยาแรงอาจจำเป็นในเวลานั้น แต่ตอนนี้ที่ไข้ยังไม่มากให้ยาแรงมากไปเดี่ยวจะตายกันหมด