บทความโดย..ลูกชาวนาไทย
ใครอ่านสื่อตอนนี้ก็ต้องรู้สึกหงุดหงิดบ้างเหมือนกัน เพราะว่าตอนนี้ไม่ว่าสื่อฉบับไหน ก็พยายามสร้างกระแสว่า เสื้อแดงหมดแรงแล้ว อภิสิทธิ์กำลังกระดี้กระด้า ที่สามารถจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนได้สำเร็จ สำหรับ Evidences หรือเหตุการณ์ที่สื่อเหล่านี้เอามาใช้ในการสร้างกระแสครั้งนี้คือ
1. การยุติการชุมนุมที่หน้าทำเนียบ ของสามเกลอ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
2. ทักษิณประกาศยุติการปราศรัยต่อสื่อต่างประเทศที่ฮ่องกง
3. การจัดประชุมที่หัวหิน ทำได้เรียบร้อยไม่มีความวุ่นวายอะไร
คือ คนที่มีสติปัญญาอ่านการสร้างกระแสของสื่อนี้แล้วรู้สึกสมเพช กับสื่อไทย ที่เลือกข้าง ไม่เป็นกลาง และข้อมูลต่างๆ ไม่ใช่ Fact แต่เป็นความเห็น
การยุติการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่หน้าทำเนียบ ไม่ได้เป็นความพ่ายแพ้หรือหมดแรงแต่อย่างใด เพราะในวันสุดท้ายที่มีการชุมนุมและแกนนำสามเกลอประกาศยุติการชุมนุมนั้น ผมได้ไปร่วมชุมนุมด้วย คนแน่นถนนหน้าทำเนียบรวมทั้งด้านข้างหมด ผมคำนวณได้ไม่ต่ำกว่า 30,000-40,000 คน พื้นที่หน้าทำเนียบเฉพาะถนนด้านหน้า และด้านข้างที่มีคนชุมนุม ผมคำนวณพื้นที่โดยใช้โปรแกรมกรูเกิ้ลเอิร์ธ และ Fugawi ได้พื้นที่ 18,000 ตร.ม. วันนั้นคนแน่นมาก เบียดกันแทบหาที่เดินไม่ได้ทีเดียว หากใช้จำนวนคน 2.5 คน/ตร.ม.จะได้จำนวนถึง 45,000 คน เอาเป็นว่า 30,000-40,000 คนก็พอ (คงไม่ต้องพูดเรื่องความแม่นยำ เพราะเทคโนโลยีดาวเทียม คำนวณพื้นที่ผิดของไม่กี่ตารางเมตร ไม่เชื่อก็ใช้รังวัด ตรวจสอบดู)
จำนวนคนขนาดนั้น หากกลุ่มเสื้อแดงจะยึดทำเนียบแล้ว เป็นเรื่องที่ในตำราพิชัยสงครามแทบจะเรียกว่า "ดุจลูกไก่อยู่ในกำมือ" ทีเดียว แต่ที่เขายุติการชุมนุม ก็อย่างที่ผมเขียนไปในบทความที่แล้วว่า กลุ่มเสื้อแดง ไม่ได้ต้องการ "เดินตามรอยเท้าพันธมิตร" ใช้การเมืองข้างถนนเพื่อล้มรัฐบาล เพราะหากทำแบบนั้น พธม. ก็ทำให้เห็นตัวอย่างอยู่แล้วว่า ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับประเทศชาติ แม้จะยึดสนามบินสุวรรณภูมิ รัฐบาลก็ไม่ได้ล้มแต่อย่างใด ดังนั้นกลุ่มเสื้อแดงเขาไม่ได้มียุทธศาสตร์เลวๆ แบบนั้นว่า “ม้วนเดียวจบ” เพราะที่จริงแพ้ชนะทางการเมืองขึ้นกลับ “ผลการเลือกตั้ง” ของประชาชนต่างหาก เขาชุมนุมกันเพื่อแสดงศักยภาพให้เห็นเท่านั้น ไม่ได้ต้องการแตกหักแต่อย่างใด การยุติการชุมนุม จึงเป็นสิ่งที่ผมคาดการณ์ได้อยู่แล้ว ยกเว้นพวกฮาร์ดคอร์บางคนที่ผิดหวังไปบ้างเท่านั้น แต่มันไม่ได้แสดงว่าเสื้อแดงแผ่วลงแต่อย่างใด ไปที่ไหนๆ ผมก็ยังไม่เห็นคนเสื้อแดง เปลี่ยนใจไปสนับสนุนอภิสิทธิ์เลย ไม่เชื่อลองยุบสภาเลือกตั้งใหม่ก็จะรู้
สาเหตุที่สื่อกระดี๊กระด๊าเรื่องนี้เพราะไปตั้งสมมุติฐานว่า กลุ่มเสื้อแดง “จะเลียนแบบยุทธศาสตร์เลวๆ “ ของ พธม.ทั้งหมด และใช้การเมืองข้างถนนมเหมือน พธม. เมื่อเขาสลายการชุมนุมชั่วคราว ก็เลยคิดว่าแพ้แล้ว
ส่วนเรื่องที่ทักษิณยกเลิกการปราศรัยที่สมาคมนักข่าวที่ฮ่องกง ผมถือว่าเป็นแค่สงครามข่าวกันเท่านั้นเอง หากรัฐบาลไทยใช้พลังอำนาจทุกอย่างบีบทางการฮ่องกง เขาก็ต้องเห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐขอร้องให้ท่านนายกฯทักษิณ ยุติการปราศรัยไปเท่านั้น แต่ในแง่การข่าว ผมถือว่าท่านนายกฯทักษิณบรรลุผลแล้วคือ เป็นที่สนใจของคนทั่วโลก สามารถแย่งซีนของนายอภิสิทธิ์ได้ และแสดงให้เห็นพลังอำนาจว่ายังไม่เสื่อมถอยแต่อย่างใด
ส่วนเรื่องการเป็นประธานกลุ่มอาเซียนของนายอภิสิทธิ์นั้น ผมไม่เห็นว่าจะสามารถสร้างผลงานอะไรได้นอกจาก ความเป็นพระเอกลิเก ได้ถ่ายรูปคู่กับผู้นำอาเซียนอื่นๆ เรื่องนี้ ทำให้ผลนึกถึงการสร้างภาพของนายชวน หลีกภัย สมัยที่ไปประชุม APEC ที่ซีแอตเติล สหรัฐอเมริกาได้ นายชวน ได้จับมือกับประธานาธิบดีคลินตัน สื่อ คือมติชนรายสัปดาห์ก็มาสร้างกระแส สร้างภาพตีพิมพ์หน้าปกเสียใหญ่โตว่า A man from Seattle กะอีแค่จับมือกับคลินต้น และพูดว่า Nice to meet You แบบไม่ได้คุยอะไรกันเลย (เพราะพูดอังกฤษไม่ได้) สื่อสายอำมาตย์มันก็เอามาสร้างภาพเสียใหญ่โต ทั้งๆ ที่นายชวนไม่ได้ประกาศปราศรัยอะไรที่ฮือฮา ไปทั่วโลกเลย
กรณีนายอภิสิทธิ์จัดประชุมสุดยอดอาเซียนที่ หัวหินก็เหมือนกัน ผมไม่เห็นนายอภิสิทธิ์จะสร้าง impact ใหญ่โต เช่น ปราศรัยแสดงวิสัยทัศน์ในการแก้วิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังเป็นเรื่องสำคัญทั่วโลกเลย ตอนนี้วาระการเป็นประธานอาเซียน เป็นของประเทศไทย ต่อให้ นายสมชาย วงศ๋สวัสดิ์เป็นนายกฯอยู่ก็ได้เป็นประธานอาเซียน
ส่วนการจัดประชุมได้เรียบร้อยนั้น เพราะคนเสื้อแดงเขาไม่ได้ต้องการไปป่วนต่างหาก (แม้ว่าผมกับเพื่อนๆ อีก 20-30 คน จะไปยกป้ายประท้วง แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจไปป่วน ไปแค่ต้องการสื่อให้ชาวโลกรู้เท่านั้น)
คือ ผมไม่เห็นงานสร้างภาพที่ไม่ได้มีผลลัพท์อะไรต่อประเทศอย่างจริงจังนี้ จะทำให้นายอภิสิทธิ์ได้เปรียบทางการเมืองแต่อย่างใด
เพราะพรรค ปชป. มัวคิดอะไรที่เป็นแค่เกมทางการเมือง โดยไม่สนใจสาระที่แท้จริงของการบริหารประเทศ ก็เลยประเมินสถานการณ์อะไรแบบใช้เกมการเมืองประเมิน
แต่เกมการเมืองพวกนี้ไม่ได้นำไปสู่ “คะแนนเลือกตั้ง” แต่อย่างใด
คนที่เกลียด ปชป. ก็ยังคงเกลียดเหมือนเดิม และผมไม่เชื่อว่าจะมีใครยอมเปลี่ยนใจไปเชียร์นายอภิสิทธิ์ เพราะได้เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน เพราะวาระมันมาถึงนายกรัฐมนตรีของไทย ใครได้เป็นนายกฯ ในขณะนั้น ก็ต้องได้เป็นประธาน
เรื่องจริงที่ต้องเผชิญคือ “ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลก” ที่เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างเต็มที่แล้ว และยัง “ตกไม่ถึงก้นเหว” ด้วยซ้ำ และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง และจะเริ่มเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างเต็มตัวในไตรมาสที่ 1-2 ของปี 2552 นี้ คนจะตกงานระเนระนาด ความวุ่นวายทางสังคมจะตามมา ผมไม่เชื่อว่า เด็กชอบโชว์ออฟอย่าง ด.ช. อภิสิทธิ์ กับ ด.ช. กร จะสามารถรับมือได้
แม้จะทุ่มกู้เงินมากระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ยากที่จะฟื้นได้ในระยะอันสั้นนี้ นี่ไม่ใช่เศรษฐกิจชะลอตัว แต่เป็น “ถดถอยหรือติดลบ” และยังลงไม่ถึงก้นเหว ดังนั้นมาตรการอะไรก็เอาไม่อยู่ การพึ่งเพียงมาตรการ กระตุ้นการบริโภคภายใน ไม่อาจไปทดแทนอุปสงค์ที่หายไปของตลาดรถยนต์ อิเลคทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และการท่องเที่ยวได้
แค่งานโชว์ออฟ เปิดประชุม ดันมาสร้างกระแสว่าเสื้อแดงแพ้แล้ว อภิสิทธิ์กำลังดีวันดีขึ้น โหเชื่อเขาเลย
น่าอนาถสื่อไทย ที่รับใช้เผด็จการอำมาตยาธิปไตยอย่างเต็มที่ ความน่าเชื่อถือมันจึงหายไปแทบหมดสิ้น