ที่มา บางกอกทูเดย์
ความเคลือบแคลงสงสัยของคนกรุงเทพฯ ต่อโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน เป็นเรื่องที่น่าจับตามองเมื่อผลสำรวจเอแบคโพลระบุว่า มีคนกรุงเทพฯ ถึง 84.5%ระบุว่า ความชัดเจนของโครงการยังไม่เพียงพอ มีเพียงแค่ 15.5%ที่ระบุว่า เพียงพอแล้วและที่สำคัญ ประชาชน 78.3% เคลือบแคลงสงสัยโครงการนี้ส่วนคนกรุงที่ไม่เคลือบแคลงสงสัยนั้นมีแค่ 21.7%ในขณะที่บุคคลที่ประชาชนต้องการให้ชี้แจงรายละเอียดโครงการฉาวนี้ ก็คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นอันดับที่ 1 รองลงมาจึงเป็น นายโสภณ ซารัมย์รมว.คมนาคม ส่วน นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานกรรมการขสมก.นั้น เป็นคนสุดท้ายที่คนกรุงอยากให้ชี้แจงอย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัญหาโครงการรถเมล์ฉาวในขณะนี้กลายเป็นประเด็นการเมืองไปแล้ว เพราะบรรดาแกนนำกลุ่มเพื่อนเนวินและพรรคภูมิใจไทยได้ออกมาเปิดฉากตำหนิพรรคประชาธิปัตย์ตรงๆ และตำหนิว่าเป็นรัฐบาลมา 5 เดือน แต่
มองไม่เห็นผลงาน ทำให้นายอภิสิทธิ์ต้องออกมาพูดว่า โครงการรถเมล์ 4,000 คัน อย่างไรก็ต้องเกิดจึงเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ก่อนหน้านี้มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่ได้มอบหมายให้ทางคณะกรรมการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาโครงการนั้นเป็นเพียงการลดแรงกดดันทางการเมืองเป็นหลักและยิ่งหากย้อนกลับไป โครงการนี้ก็ได้เคยผ่านการพิจารณาและได้รับการเห็นชอบจากสภาพัฒน์มาตั้งแต่ครั้งสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช แล้ว ดังนั้น สภาพัฒน์เองไม่น่าที่จะมีการพลิกผันความเห็นของตนเองในลักษณะ 180 องศาอย่างแน่นอนยิ่งเมื่อดูที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรีและประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ระบุว่า ราคาการเช่า64,000 ล้านบาทนั้น ถือว่าลดลงมาเยอะแล้ว เกือบจะเท่ากับที่เคยคิดไว้เมื่อครั้งที่เป็นประธานศึกษาเรื่องนี้ ซึ่งเมื่อมีการประกาศทีโออาร์และเปิดประมูล มีการยื่นประมูลอาจจะได้ราคาลดลงถูกลงกว่านี้ได้อีกส่วนแรงกดดันต่อสภาพัฒน์ พล.ต.สนั่น เห็นว่า ไม่น่าที่จะมีเพราะเป็นบอร์ดชุดใหญ่ ล้วนแล้วแต่เป็นมือรุ่นเก่าทั้งนั้นดังนั้น จึงควรต้องรอผลการศึกษาของสภาพัฒน์ที่จะออกมาอย่างละเอียดเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย แล้วจึงมาพิจารณากันอีกทีหนึ่งว่า อะไรเหมาะสมที่สุด ■