ที่มา ไทยรัฐ
นายจาตุรนต์ ฉายแสง
กลุ่มเสื้อแดงโดยเครือข่ายนักธุรกิจเอสเอ็มอี-โอท็อปไทย จัดงานแสดงสินค้า "จาตุรนต์" ปาฐกถาพิเศษอัดรัฐบาล 2 มาตรฐานนักลงทุนขยาด ชี้ นายกฯกล้าไม่ยกเลิกเช่ารถเมล์ 4 พันคัน ด้าน หมอเลี๊ยบฟันธงรัฐบาลไม่รอดปัญหารุมเร้า...
เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (7 มิ.ย.) ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ กลุ่มคนเสื้อแดง โดยเครือข่ายนักธุรกิจเอสเอ็มอี-โอท็อปไทย (SMOT) นำโดยนายปริวรรต สาคร จัดงานแสดงสินค้า "ร่วมมือประสานใจ นำเอสเอ็มอี - โอท็อปไทย ข้ามพ้นวิกฤติ "ครั้งที่ 1 ภายใต้เสื้อแดงนำ ไทยใช้ ไทยเจริญ เพื่อให้เป็นการรวมกลุ่มนักธุรกิจคนเสื้อแดงที่ได้รับผลกระทบวิกฤติเศรษฐกิจจากการปฏิวัติรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 และการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ผิดพลาดของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทั้งนี้นอกจากจะออกร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าโอท็อปคนเสื้อแดงจากทั่วประเทศแล้ว ยังขายบัตรฟังการปาฐกถาพิเศษเรื่อง "ธุรกิจเอสเอ็มอี-โอท็อป ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย" จากนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และการบรรยายเรื่อง "ผ่าวิกฤติเศรษฐกิจอย่างไร เพื่อให้ธุรกิจเอสเอ็มอี - โอท็อปไทยอยู่รอด” จากนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกฯ และ รมว.คลัง ในราคาบัตรใบละ 100-300 บาท ท่ามกลางความสนใจจากแนวร่วมคนเสื้อแดงเป็นจำนวนมาก สำหรับเครือข่ายนักธุรกิจเอสเอ็มอี-โอท็อปไทย นี้ จะเป็นองค์กรบริหารัดการและรับฝากขายสินค้าเอสเอ็มอี-โอท็อปของกลุ่มคนเสื้อแดงผ่านทางเว็ปไซต์ และตามงานกิจกรรมชุมนุมในที่ต่างๆ โดยคิดค่าบริการรับฝากขายในอัตราร้อยละ 3 ของราคาสินค้าที่ขายได้
ต่อมาเวลา 11.30 น. นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง "ธุรกิจเอสเอ็มอี-โอท็อป ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย" โดยเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการวิพากษ์การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล ว่า การผลักดันให้นักธุรกิจเอกชนเป็นกำลังใสำคัญในการพัฒนาประเทศมากเท่าไหร่ ย่อมเป็นประโยชน์แก่ประเทศมากเท่านั้น การจะทำเช่นนั้นได้ประเทศต้องมีระบบและระบอบการปกครองที่ไม่เป็นอุปสรรค ต้องมีประชาธิปไตยที่กินได้ ประชาชนมีความรู้สึกว่า ประชาธิปไตยทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นได้อย่างไร แต่สถานการณ์ในประเทศขณะนี้เป็นอุปสรรคทำให้นักธุรกิจส่วนใหญ่ โดยเฉพาะนักธุรกิจต่างชาติลังเลที่จะเข้าลงทุน เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองของไทยไม่มีความเสถียรภาพ ไม่เป็นประชาธิปไตย รัฐบาลบริหารประเทศแบบ 2 มาตรฐาน กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย นอกจากนี้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ และนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ด้วยการออก พ.ร.ก.กู้เงิน กว่า 8 แสนล้านบาท ยังเป็นการเจริญรอยตามนโยบายมิยาซาวา ของรัฐบาลนายชวน หลีกภัย และนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ เป็น รมว.คลัง ซึ่งมีการคอรัปชั่นสูง เนื่องจากรัฐสภาตรวจสอบการใช้เงินไม่ได้ เพราะไม่ได้ออกเป็นพระราชบัญญัติ
"การที่นายอภิสิทธิ์บอกว่า ผู้นำต่างประเทศและนักลงทุนไม่กล้ามาประชุมในประเทศไทย เพราะกลัวการชุมนุมของคนเสื้อแดง ถือเป็นพูดที่บิดเบือน เนื่องจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นการชุมนุมกินเลี้ยงสังสรรค์ หรือการประชุมวิชาการเท่านั้น ไม่มีการชุมนุมใช้ความรุนแรงทั้งสิ้น เหตุการณ์จลาจลที่พัทยาจนเป็นเหตุให้การประชุมอาเซียนซัมมิทล้มเลิกนั้น เป็นสร้างสถานการณ์ของรัฐบาลที่ต้องการให้การประชุมล้มเลิก เพื่อมาใช้เป็นข้อกล่าวหาคนเสื้อแดง ทั้งที่ในความจริงนักการทูตของประเทศต่างๆ ต่างพูดกันว่า เหตุที่ผู้นำประเทศของเขาไม่มาร่วมประชุมที่ประเทศไทยอีก ไม่ใช่ประเด็นกลัวความไม่ปลอดภัย แต่เป็นเพราะไม่พอใจที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยหนีเอาตัวรอดตามลำพัง และไม่ได้จัดทหาร-ตำรวจมารักษาความปลอดภัยให้กับผู้นำประเทศของเขาต่างหาก" นายจาตุรนต์ ระบุและกล่าวต่อว่า จากนี้ไปนักธุรกิจเอสเอ็มอี-โอท็อป จะต้องพยายามช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด เพราะไม่หวังพึ่งรัฐบาลชุดนี้ได้อีกแล้ว เนื่องจากวันนี้รัฐบาลประชาธิปัตย์มัวยุ่งแต่การแก้ไขปัญหาในพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อยืดอายุการเป็นรัฐบาลให้นานที่สุด เห็นได้จากกรณีโครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคัน ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรทุกคนรู้ดี แต่นายอภิสิทธิ์ก็ไม่กล้าตัดสินใจยกเลิกโครงการ เพราะรัฐบาลจะล้มถ้ายกเลิกโครงการดังกล่าว
จากนั้นเวลา 14.30 น. นพ.สุรพงษ์ กล่าวถึงการ 'ผ่าวิกฤติเศรษฐกิจอย่างไร เพื่อให้ธุรกิจเอสเอ็มอี - โอท็อปไทยอยู่รอด' ตอนหนึ่งว่า ถ้าหากนักธุรกิจเอสเอ็มอี-โอท็อปต้องการอยู่รอดจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่รุมเร้าในปัจจุบันนี้ จะมานั่งรอหวังพึ่งความช่วยเหลือจากรัฐบาลนี้เป็นไม่ได้แล้ว ต้องพึ่งตัวเองให้มากที่สุด ที่สำคัญคือ อย่าเชื่อคำพูดของรัฐบาลว่า เศรษฐกิจจะฟื้นแล้ว เพราะรัฐบาลเองยังเอาตัวไม่รอด เนื่องจากมีความไม่พร้อมในการแก้ปัญหา รัฐบาลมีปัญหารุมเร้าไม่ว่างที่จะมาแก้ปัญหาให้ และสุดท้ายคือรัฐบาลไม่มีเงิน ทำให้ต้องไปกู้เงินกว่า 8 แสนล้านบาท มาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า