ที่มา Thai E-News
โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 15
ภารกิจที่รออยู่ข้างหน้า และได้เริ่มไปแล้วมากนั้น จึงคือการจัดตั้งระบอบประชาชนให้ทัดเทียมกับระบอบอำมาตย์ ซึ่งไม่ใช่ทั้งการนั่งกราบกำแพงอย่างไร้สติ หรือเอาหัวชนกำแพงจนหัวแตก แต่ต้องรู้ว่ากำแพงคือกำแพงและหาเครื่องมือที่เหมาะสมต่อกำแพงนั้น ประชาชน...อำมาตย์... สองเราต้องเท่ากัน
ตั้งแต่เข้าร่วมกับพี่น้องประชาชนสู้รบกับระบอบอำมาตยาธิปไตยมาจนบัดนี้ ผมเชื่อมั่นเสมอว่าฝ่ายประชาชนในวันนี้คือฝ่ายก้าวหน้า
พร้อมปฏิเสธความล้าหลังในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศที่ก่อขึ้นโดยฝ่ายอำมาตย์ ไม่นานก็จะบริบูรณ์เพียบพร้อมทั้งทางกายภาพ ความกล้าหาญทางจริยธรรม และจังหวะเวลาอันเหมาะสมในการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม
ผมไม่เคยเห็นภาพของพี่น้องประชาชนที่เป็นเด็กไม่พร้อมรับความจริงของโลก ต้องให้อำมาตย์ บริษัทบริวาร และซากเดนทั้งหลายมาตั้งตัวเป็นผู้ใหญ่เข้าปกครองและครอบงำ
ประชาชนในประเทศนี้ปกครองตัวเองได้
นี่ล่ะครับคือจุดตั้งต้นของผม
ยอมรับว่าเมื่อก่อนนี้ผมก็ไม่แน่ใจนัก เพราะไม่ได้เข้ามาคลุกกับมวลชนจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของท่านอย่างทุกวันนี้ ผมจึงเพิ่งมาซาบซึ้งกับคำกล่าวที่ว่า “ในมวลชนมีทุกสิ่ง” และยอมรับว่าเป็นสัจธรรมโดยแท้ เพราะผมได้เรียนจากการร่วมต่อสู้กับพี่น้องประชาชนมากกว่าทุกโรงเรียนและทุกมหาวิทยาลัยที่ผมได้เรียนและได้สอนมารวมกัน
ผมได้เห็นว่าแม่ค้าจบประถม ๔ มีความก้าวหน้า ตระหนักในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนเองสูงกว่าอธิการบดีจบปริญญาเอกที่เป็นขี้ข้าของอำมาตย์
ผมได้เห็นคนที่ประกอบอาชีพรับจ้าง อย่างพี่น้องแท็กซี่หรือวินมอเตอร์ไซด์ที่วิเคราะห์การเมืองได้ดีกว่าคนที่สังคมอุปโลกน์ให้เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตบางคน
บวกกับบทเรียนและแบบฝึกหัดอีกมากมายหลายครั้ง
ผมพบว่าฝ่ายประชาชนมีจุดอ่อนอย่างเดียวที่ยังสู้ฝ่ายอำมาตย์เขาไม่ได้ และทำให้ฝ่ายอำมาตย์เขายังควบคุมสังคมได้แทบทุกอณู โดยเฉพาะอำมาตย์ไทยที่ใช้ประโยชน์เต็มที่จากวัฒนธรรมสมยอมของไทยและกดขี่อย่างนุ่มนวล โยนเศษเนื้อให้ฝ่ายประชาชนกินเป็นระยะๆ เพื่อให้รู้สึกว่าไม่อดตาย จงใจทำลายเงื่อนไขของการปฏิวัติสังคมที่มักเริ่มต้นด้วยความอดอยากยากแค้นในบ้านเมืองอื่น
นั่นคือการจัดตั้งที่อ่อนกว่า ด้อยกว่า และไม่ต่อเนื่องของฝ่ายประชาชน
ฝ่ายอำมาตย์เขาจัดตั้งมานานกว่า ครอบคลุมกว่า และยังจัดตั้งอย่างต่อเนื่องแข็งขัน
เท่านั้นเองครับ
คำว่า การจัดตั้ง ซึ่งเป็นคำเก่าแก่ที่สุดคำหนึ่ง คือการทำความเข้าใจในแนวคิด อุดมการณ์ ค่านิยม ให้ตรงกันในหมู่คณะ และอาจรวมถึงการทำความตกลงในวิธีการเพื่อให้บรรลุผลนั้น นักจัดตั้งไม่เพียงแต่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง อย่างที่เรียกว่า อัตวิสัย แต่ต้องฉลาดวิเคราะห์จังหวะเวลาและสถานการณ์ เพื่อโยงเอามาใช้ประโยชน์อย่างที่เรียกว่า ภาววิสัย ด้วย
นี่แหละครับคืองานของเรานับจากนี้ไปในฝ่ายประชาชน
การพิสูจน์คลิปเสียง การไล่รัฐบาล การตะเพิดนายอภิสิทธิ์ การล้อมบ้านพลเอกเปรม ฯลฯ ก็ทำไปเถิดครับ เพราะเป็นการทดสอบวิธีชุมนุมมวลชนในระบอบประชาธิปไตย เหมือนซ้อมใหญ่ แต่จะให้สะเด็ดน้ำจนเราได้ประชาธิปไตยแท้ๆ ด้วยวิธีการชุมนุมแล้วชุมนุมเล่า แล้วเรียกนายหน้าหรือตัวแทนเขามาเขกกบาลให้สะใจนั้นเห็นจะเป็นไปได้ยาก
เมื่อฝ่ายอำมาตยาธิปไตยรักษาอำนาจของเขาได้อย่างมั่นคงและลุ่มลึก ถึงขนาดแทบจะควบคุมความคิดคนได้หมดประเทศแล้วด้วยกลไกการจัดตั้ง ฝ่ายประชาชนเองจะเพิกเฉยอยู่ไม่ได้
ความจริงใจก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่หรอกครับ แต่ถ้าต่างคนต่างจริงใจและแสดงออกความจริงใจอย่างกระจัดกระจายไม่เป็นลำแสงเดียวกัน ก็จะได้พลังประชาธิปไตยที่กว้างขวาง หลากหลาย แต่ขาดความเข้มข้นและนำไปทดแทนลำแสงที่ดูเจิดจรัสของฝ่ายอำมาตยาธิปไตยไม่ได้
การชุมนุมและคำปราศรัยก็เป็นเครื่องมือจัดตั้งอย่างหนึ่ง แต่ต้องแน่ใจว่าความคิดเบื้องหลังการแสดงออกเหล่านั้นมีเป้าหมายเพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริงซ่อนอยู่ หรือบางครั้งก็แสดงออกเลยโดยไม่ต้องซ่อน ไม่ใช่เพียงเพื่อให้คนชอบคนรัก หรือหาเสียงใส่ตัวเพื่อแปลงเป็นคะแนนเสียงเลือกตั้งหรือเป็นอำนาจต่อรองทางการเมืองของตนและหมู่คณะ แต่ต้องเป็นการเตรียมให้มวลชนเข้าใจเป้าหมายที่ใหญ่โต สำเร็จยาก แต่จำเป็นต้องฝ่าฟันไปเพื่อจัดระเบียบสังคมเสียใหม่
ชุมนุมแต่ละครั้ง อย่าให้แต่ข้อมูลแต่เรื่องปลีกย่อย ต้องฝากความคิดทีละน้อยในเรื่องใหญ่เสมอ
คิดอยู่ในใจว่าการชุมนุมแต่ละครั้งเป็นคือเตรียมมวลชนให้พร้อมต่อความเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง
คิดเชิงคุณภาพ คู่ไปกับความคิดเชิงปริมาณ เพราะจำนวนมวลชนก็มีความจำเป็นต่อชัยชนะอันแท้จริงในอนาคต
ถ้ากำหนดจุดยืนชัดเจนอย่างนี้ การชุมนุมแต่ละครั้ง เว็บไซต์แต่ละเว็บไซต์ สถานีวิทยุชุมชนแนวประชาธิปไตยแต่ละสถานี การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนแต่ละครั้ง ฯลฯ จะมีทิศทางชัดเจน ไม่แกว่งไกวตามบุคลิกภาพหรือแนวคิดส่วนตัวของแกนนำหรือวิทยากรแต่ละคน
มวลชนในขณะนี้ก้าวหน้าแล้ว และพร้อมจะก้าวต่อไปอีก กุญแจสำคัญคือการนำขบวนที่ก้าวหน้า ไม่วกวน ไม่ตีฝีปาก และไม่ยอมรับสิ่งที่น้อยกว่าประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ใครขาดความมั่นใจว่าประชาชนจะไปได้ถึง ก็ขอพักยกได้ โดยจะไม่มีใครลืมเลือนท่านและคุณประโยชน์ที่ท่านได้ทำมาก่อนหน้านั้นเลย
ความก้าวหน้าและล้าหลังนั้นบังคับกันไม่ได้ แต่จะปล่อยเป็นอุปสรรคต่อขบวนการใหญ่ก็ไม่ได้เช่นกัน
นี่คือเรื่องบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
ภารกิจที่รออยู่ข้างหน้า และได้เริ่มไปแล้วมากนั้น จึงคือการจัดตั้งระบอบประชาชนให้ทัดเทียมกับระบอบอำมาตย์
ซึ่งไม่ใช่ทั้งการนั่งกราบกำแพงอย่างไร้สติ หรือเอาหัวชนกำแพงจนหัวแตก แต่ต้องรู้ว่ากำแพงคือกำแพงและหาเครื่องมือที่เหมาะสมต่อกำแพงนั้น
ประชาชน...อำมาตย์... สองเราต้องเท่ากัน
นั่นคือจุดเริ่มต้น.
----------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)