WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, September 14, 2009

คุยกับสื่อชื่อ จอม เพชรประดับ: ผมอยากสัมภาษณ์ท่านประธานองคมนตรี

ที่มา ประชาไท

กรณีของจอม เพชรประดับ ที่ต้องยุติการจัดการรายการให้กับสถานีวิทยุ 100.5 MHz ของ อสมท. หลังจากสัมภาษณ์อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร อาจจะกลายเป็นข่าวที่ไม่เป็นข่าวอีกชิ้นหนึ่งสำหรับประเทศไทย จอมได้ออกแถลงการณ์ ยุติการจัดกรายการ ภายหลังจากที่ทั้งวันมีข่าวว่า สาทิตย์ วงษ์หนองเตย เรียกผู้อำนวยการสถานีมาสอบถามทันทีที่การสัมภาษณ์ยุติลง
การตอบรับต่อกรณีที่เกิดขึ้นนั้น ไม่เป็นที่น่าพอใจนักจากสมาคมวิชาชีพผู้สื่อข่าวในประเทศไทย จนบัดนี้ไม่มีการออกแถลงการณ์ใดๆ เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสารในฐานะสื่อมวลชน ไม่มีโหมประโคมว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันการพูดถึงการแทรกแซงสื่อ หากแต่กลับมีหลายเสียงสะท้อนว่า ครั้งนี้ถือว่าเป็นเหมือนค่าโง่ที่จอมต้องยอมจ่ายแลกกับการตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง
ประชาไทสัมภาษณ์สื่อชื่อ จอม เพชรประดับหลังในเย็นวันหนึ่ง ซึ่งเขายืนยันการสัมภาษณ์อดีตนายกทักษิณนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องของการถูกใช้ แต่ว่าคือการทำหน้าที่ของผู้สื่อข่าว ท่ามกลางการเมืองแห่งการแบ่งแยกเลือกข้างและกล่าวหากัน คุณทักษิณถือเป็นแหล่งข่าวที่มีความสำคัญต่อสถานการณ์บ้านเมืองเช่นกัน
เขาบอกด้วยว่าแม้ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกรณีสัมภาษณ์อดีตนายกทักษิณและส่งผลให้เขาต้องยุติการทำงานให้กับสถานีวิทยุของอสมท. ไปแล้ว แต่หากมีโอกาส คนที่เขาจะสัมภาษณ์ก็คือ พล.เอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี
000
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณ มีการตั้งข้อสังเกตว่าสื่อเองก็ต้อง ต้องระมัดระวังในการไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองด้วย คุณคิดว่าเรื่องนี้ควรจะพึงระมัดระวังแค่ไหน
ในภาวะที่เขาต่อสู้ทางการเมืองและใช้สื่อสู้กันด้วยมันเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดการโจมตี เกิดสื่อเลือกข้าง และใช้สื่อทำลายกันไปมา คนที่ต้องการจะอยู่ตรงกลางเป็นเรื่องที่มีความลำบากมากขึ้นเพราะว่ามาตรฐานเดิมทีเคยเป็นมาคือการนำเสนอความเป็นจริง และให้ความเป็นธรรมนั้น ดูเหมือนว่าไม่ได้รับความเชื่อถือ แม้แต่คำว่าเป็นกลางก็กลายเป็นคำที่ผมเองก็กระดากที่จะพูดถึง
แต่อันหนึ่งที่น่าจะพอพูดได้ก็คือความเป็นธรรม ที่แต่ละฝ่ายจะได้แสดงออก ซึ่งความเป็นธรรมนี้เมื่อเขาไม่สามารถที่จะหาได้ในสื่อของรัฐที่เป็นสื่อใหญ่ของประเทศ เขาก็ต้องไปเปิดช่องทางกันเอง แล้วแนวทางก็คือเป็นสื่อเลือกข้าง ถ้ามองอย่างคนที่เป็นสื่อกระแสหลักของประเทศ ผมว่าถ้าเป็นสื่อภาครัฐตอนนี้ทำบากมากที่จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ในการให้ความรอบด้านให้ความลึก ส่วนสื่อเอกชนก็ยังมีส่วนสัมพันธ์ในมิติใดมิติหนึ่งกับรัฐบาลเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการจะนำเสนอเรื่องการเมืองแบบเปิดพื้นที่ให้คนมาถกเถียงกัน เขาก็ไม่กล้า ก็ต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง
ผมเองก็อยากเห็นความเป็นธรรมในการนำเสนอข่าว ทำอย่างไรให้การนำเสนอข่าวในภาวะที่สื่อเป็นเครื่องมือในการต่อสู้มีความเป็นธรรมมมากขึ้น
ปรากฏการณ์หนึ่งคือมีความพยายามหรือมีความสามารถในการเอาความเท็จมาปรุงแต่ง และขณะเดียวกันก็เอาความเป็นจริงมาบิดเบี้ยวให้เป็นความเท็จ คนที่ต้องการทำหน้าที่อย่างตรงตรงมาเขาทำงานลำบาก และตอนนี้คนที่อยากจะเป็นกลางจะถูกผลักหรือถูกบีบให้ไปอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง ไม่ซ้ายก็ขวา ไม่ดำก็ขาวไม่เหลืองก็แดง หรือแม้แต่เราบอกว่าต้องการความสมานฉันท์ก็ถูกมองว่าเป็นฝ่ายไหนกันแน่ และถ้ามองในแง่องค์กรสื่อหรือสมาคมสื่อเอง ผมคิดว่าสังคมก็ไม่แน่ใจว่าเขาเป็นอย่างไร เพราะบางครั้งก็สองมาตรฐานเหมือนกัน ไม่ต่างไปจากองค์กรอื่นๆ ผมว่าสมาคมนี้มีความอคติหรือมีความชอบหรือไม่ชอบในการนำเสนอข่าว และเป็นการบริหารที่ไม่ค่อยยอมรับความเห็นต่างหรือยอมรับในความเชื่อที่แตกต่าง ทำให้คนที่อยากอยู่ตรงกลางอยู่ลำบากใยการนำเสนอประเด็น ลำบาก ยืนยาก
แต่สื่อมวลชนคนอื่นก็อาจจะมองเห็นการสัมภาษณ์ทักษิณ อาจจะไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ การเซ็นเซอร์ทักษิณก็อาจจะเป็นการทำเพื่อชาติเหมือนกัน
ผมว่าสิ่งที่น่าจะทำได้และควรต้องทำนั่นก็คือให้ความเป็นธรรม ในภาวะที่สังคมมีการกล่าวหาซึ่งกันและกันมากขนาดนี้ สิ่งที่ทำได้ก็คือให้ความเป็นธรรม การถามว่าการสัมภาษณ์คุณทักษิณเป็นการทำร้ายประเทศหรือไม่เกิดประโยชน์ เอาง่ายๆ นะ ถ้าเรามองว่าสังคมต้องเดินหน้าไปด้วยความสงบ องค์ประกอบมีอะไรบ้างแน่นอนหนึ่งในนั้นก็คือคุณทักษิณ
คุณทักษิณไม่ใช่คนที่ไม่มีผลต่อสังคมไทยเลย ไม่ใช่ เขามีผลทุกกระเบียดนิ้ว แล้วคนๆ นี้ในแง่ของข่าว เขามีนัยยะ มีความสำคัญในเชิงคุณค่าของข่าว เพราะเขามีกระทบต่อเศรษฐกิจ ต่อการเมือง ต่ออุดมการณ์ทั้งหมดเลย ผลบวกหรือลบแล้วแต่ใครจะมอง เขาไม่ใช่ Key person ที่ต้องมานั่งคุยและน่าสนใจความคิดและการเคลื่อนไหวของเขาหรอกหรือ ผมว่าการสัมภาษณ์คุณทักษิณไม่ใช่การทำร้ายประเทศไทย เพราะเขาไม่ใช่คนที่ไม่มีพลังหนุนหลังเลยแม้แต่คนเดียว ถ้าเป็นอย่างนั้นคือไม่มีประโยชน์ที่จะมาพูด แต่นี่นอกจากเคลื่อนไหวของเขาจะมีผลต่อประเทศไทยแล้วเขายังมีมวลชนสนับสนุนเขาอยู่ครึ่งค่อนประเทศ หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าคนเสื้อแดงนั้นไม่ใช่คนไทยหรือครับ หมายความว่ากลุ่มมวลชนของคุณทักษิณไม่ใช่คนไทยหรือครับ ไม่ใช่คนที่ต้องยืนอยู่บนผืนแผนดินไทยเหรอครับ เขาก็เป็นคนไทยนะ เพราะฉะนั้น ต้องให้เขาได้รับความเป็นธรรมในฐานะคนหนึ่งที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทย เป็นคนไทย เสียภาษีให้กับประเทศชาติเหมือนกัน และเขาก็เป็นคนไทยที่รักประเทศเหมือนกันความคิด แน่นอนเหมือนกับที่คนเสื้อเหลืองก็มีความรักความปรารถนาดีต่อประเทศเหมือนกัน
ถ้าคุณมองว่าการสัมภาษณ์คุณทักษิณเป็นการสร้างความเสียหายให้กับชาติบ้านเมือง นั่นคือคุณกำลังมองแบบการเมือง มองแบบขั้วที่กำลังจะต่อสู้กัน แต่คุณไม่มองโดยเอาบ้านเมืองเป็นตัวตั้ง ถ้ามองจากเป้าหมายนี้ คุณจะไม่คิดว่าการพูดกับคุณทักษิณแล้ววุ่นวาย บ้านเมืองเสียหาย
ก่อนจะสัมภาษณ์คุณทักษิณออกอากาศ คุณจินตนาการไว้ไหมว่าเรื่องนี้จะอ่อนไหวต่อรัฐบาลมากขนาดนี้
ผมคิดแต่เพียงว่าประเทศไทยจะมีทางออกอย่างไร แล้วก็วางประเด็นที่จะคุย เพราะเขาก็เป็นคนที่ควรหาทางออกให้กับประเทศเหมือนกัน ก็มุ่งไปที่ประเด็นนั้น ผมไม่ใช่นักการเมืองที่จะมานั่งคิดว่าถ้าสัมภาษณ์แล้วจะกระทบต่อฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา ผมคิดแต่ไม่มากเท่ากับนักการเมือง แต่ผมคิดว่าเขามีศักยภาพมีความตั้งใจในการแก้ปัญหาประเทศอย่างไร เขาอยู่ต่างประเทศเขายังคงจงรักภักดีต่อสถาบันหรือไม่ เขายังคงรักแผ่นดินเกิดอย่างที่เขาพูดหรือเปล่า แม้ว่าจะได้ยินหลายครั้งแต่ก็อยากจะฟังจากปากของเขา
ผมก็เลยไม่ได้คิดว่าจะกระทบกับการเมืองแค่ไหน ส่วนที่กระทบกับผมนั้นผมก็รู้อยู่แล้วล่ะว่ามันกระทบแน่ๆ แต่จริงๆ แล้วผมก็แปลกใจกับรัฐบาลเหมือนกันนะ รัฐบาลกลัวเกินเหตุ เพราะประการแรก รายการของผมเล็กมาก เป็นรายการเล็กๆ ในบรรดารายการที่ อสมท. มีอยูเป็นร้อยๆ คลื่น ถ้าผมสัมภาษณ์แล้วมันอาจจะขึ้นหัวข่าว หนังสือพิมพ์อาจจะเอามาโคว้ทอยู่วันหนึ่ง เรื่องมันก็น่าจะจบเร็ว รัฐบาลก็อาจจะบอกว่า โอเค ก็เป็นเสรีภาพที่สามารถทำได้แต่ก็ต้องคิดนะต้องระวังนะ เพราะเราไม่ต้องการความวุ่นวายในประเทศ มันก็จบแค่นั้น แล้วคำพูดของคุณทักษิณก็ไม่ได้มีอะไรใหม่เลย เขาพูดทางเว็บไซต์ ไม่รู้กี่สิบครั้งเขาพูดผ่านวิทยุของคนเสื้อแดงไม่รู้กี่สิบหน เขาโฟนอินเข้าตามสถานีวิทยุจังหวัดอำเภอ ต่างๆ เขาก็พูดเหมือนที่เขาพูดน่ะแหละ และเขาก็มีรายการ Talk around the world แล้วมันต่างอะไร จริงๆ แล้วถ้าเผื่อรัฐบาลเฉยๆ เสีย มันก็จบ แล้วก็หายไปกับสายลม
จากการทำงานสื่อดูเหมือนว่าคุณจะมีปัญหากับทุกรัฐบาล คุณพบปัญหากับรัฐบาลไหนมากที่สุด
ผมเริ่มทำไอทีวี ก็อยู่ในภาวะล้มลุกคลุกคลานตลอด สุดท้ายคุณทักษิณก็เข้ามาเทกโอเวอร์ ผมก็คิดว่าผมไม่ประสงค์ที่จะทำงานสื่อในสถานีโทรทัศน์เอกชน ที่แม้จะบอกว่าเป็นสถานีโทรทัศน์เสรีแห่งแรกของประเทศไทย แต่ถ้าถือหุ้นโดยนายกรัฐมนตรี มันก็ไม่ต่างกับการทำสื่อของรัฐบาล ผมก็ไปเมืองนอกประมาณห้าปี แล้วก็กลับมาช่วงปลายๆของรัฐบาลทักษิณ กลับมาทำงานที่ไอทีวี ซึ่งก็มีการเตือนการติเรื่องการสัมภาษณ์คนนั้นคนนี้ แต่ก็ไม่ได้ห้ามทำ แต่ก็จะติ เช่น ไปสัมภาษณ์ทำไมพวกแผ่นเสียงตกร่อง ซึ่งก็เป็นระดับที่ บ.ก. ก็ยังสะกิดเบาๆ ไม่ถึงขั้นรุนแรง
ต่อมาก็มีการปฏิวัติ ก็ไม่ต้องพูดถึง ทั้งมีโทรศัพท์ มีหนังสือมาเตือนห้ามอย่างนั้นห้ามอย่างนี้ มีทหารมาประจำตลอดที่ห้องส่งตลอดเวลา การทำข่าวก็ต้องมีการตรวจ นี่คือ คมช.
หลังจากนั้นเมือมีการเลือกตั้ง 23 ธ.ค. 2549 ก็ได้รัฐบาลพลังประชาชนมา ผมก็คิดว่าเมื่อพลังประชาชนมานายกตัวจริงก็คือคุณทักษิณ ผมก็ไปสัมภาษณ์คุณทักษิณ ว่าจะเอายังไงกับประเทศเพราะคุณทักษิณเป็นคนตั้งตำแหน่งนายก ตั้งรัฐมนตรี ผมก็ไปสัมภาษณ์คุณทักษิณที่ฮ่องกง กลับมาก็ถูกแบน ถูกต่อว่า แล้วผมกรับผิดชอบด้วยการลาออก แล้วก็มีการปฏิรูปการเมืองใหม่ แล้วก็มีการเลือกตั้งแล้ว มีรัฐบาลคุณสมัคร ก็เห็นว่าพวกผมซึ่งเคยถูกลอยแพในยุค คมช. ไม่มีความผิดอะไรก็รับเข้าไปทำงานที่ช่อง NBT คุณจักรภพก็ให้โอกาสในการทำงาน ผมก็บอกว่าขอให้เชื่อในวิชาชีพของเรา เพราะว่าเราประสบความสำเร็จจากการทำหน้าที่ของเรา ก็ควรให้ทำงานแบบที่เราเคยทำ เขาก็เห็นด้วย ผมก็เข้าไปทำ แต่สุดท้ายเขาก็มีรายการความจริงวันนี้ซึ่งผมไม่เห็นด้วย เพราะถ้าเป็นทีวีของรัฐก็เป็นพื้นที่ของประชาชนทุกคน เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมที่จะเอาเครื่องมือของรัฐไปใช้ แล้วผมก็บอกว่าในเมื่อมีรายการความจริงวันนี้ มีรายการนายกพบประชาชน มีคุณจักรภพพูดบ่อยครั้ง ผมก็คิดว่ามีความจำเป็นที่ต้องเอาพรรคฝ่ายค้านมาพูดบ้าง
รายการถามจริงตอบตรง ของผมจริงๆ ก็มีปัญหามาตั้งแต่วันเปิดสถานีแล้ว ในรายการถามจริงตอบตรงวันที่เปิดสถานี ผมต้องการเอาคนที่เป็นฝ่ายค้านมา โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ผมก็ ติดต่อคุณจุรินทร์มาพูดเรื่องรัฐธรรมนูญ ติดต่อคุณชูศักดิ์ ศิรินิล มาพูด เขาก็บอกว่าไม่ได้ต้องเอาคุณจักรภพมา ผมก็บอกว่าคุณจักรภพพูดมาทั้งวันแล้วน่ะ ก็ถกเถียงกัน ผมก็บอกว่าพูดตั้งแต่วันแรกแล้วไม่ใช่หรือว่าผมต้องมีอิสระในการทำงาน ผมก็ทำงานต่อไป แต่ทำไปเรื่อยๆก็รู้สึกว่ามากไปแล้วนะ ทำมานานฝ่ายค้านไม่ค่อยได้ออกรายการ ผมก็เชิญคุณอภิสิทธิ์มาออกรายการ ทางรัฐบาลก็เริ่มลดรายการและถอดไป ให้ทำรายการใหม่เป็นรายการ ทางออกสังคมไทย จากที่เคยได้เวลา 5 วันก็เหลือ 3 วัน ผมก็เคยพูดเรื่องนี้กับคุณอภิสิทธิ์ คุณอภิสิทธิ์ก็เคยบอกว่าผมก็รู้ และไม่ชอบวิธีการอย่างนี้ที่ใช้สื่อของรัฐเป็นเครื่องมือทางการเมือง ผมไม่ชอบนักการเมืองที่ใช้วิธีการไปใช้สื่อของรัฐแบบนี้
ผมก็ว่าถ้าคุณไม่ชอบก็ดีแล้ว ถ้าผมเชิญมาคุณก็อย่าปฏิเสธ แล้วพอมาถึงยุคนี้ก็เป็นอย่างนี้ละครับ คือสุดท้ายเป็นรัฐบาลใหม่ เขาก็ปลดพวกผมออกโดยไม่ต้องให้งานอะไร คือแม้จะไม่ปลดเขาก็บอกสัญญามันหมด แต่ก็คือไม่ให้พวกเราไปโผล่ที่หน้าจอ เพราะพวกเราเป็นสัญลักษณ์ของความขัดแย้งอะไรต่างๆ มากมาย ผมก็ไม่อยากจะตำหนิรัฐบาลนี้ว่าพูดอย่างทำอีกอย่าง คือพูดหรือทำเหมือนกับว่าให้สิทธิเสรีภาพแต่เอาเข้าจริงคุณก็ทำเหมือนคนอื่น ที่สำคัญก็คือพยายามยืมปากคนอื่นมาด่า ถึงแม้ประชาธิปัตย์จะไม่มีรายการความจริงวันนี้เหมือนคนเสื้อแดง แต่ประชาธิปัตย์ก็ยืมปากคนอื่นมาด่าฝ่ายตรงข้ามแทนรัฐบาลอยู่เยอะเหมือนกัน แล้วมันต่างอะไรกับการมีรายการสักรายการด่ากันตรงๆ
ทำไมคุณถึงตัดสินใจยุติการจัดรายการทางสถานีวิทยุ 100.5
เหตุผลแรกคือผมทำงานอิสระ เราเป็นคนนอก ถ้าเราไปสร้างความเดือดร้อนกับเขามาก เขากระทบกระเทือนมาก หวั่นไหวมาก เขาทำงานลำบากมากขึ้น ผมก็คิดว่าผมลาออกดีกว่า
แต่การที่คุณชิงลาออกก็อาจจะทำให้คุณสาทิตย์เป็นฝ่ายที่ดูไม่ดี
แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะ ถ้าผมอยู่เฉยๆ คนที่นั่นก็อาจจะถามว่าทำไมผมไม่ทำอะไรสักอย่าง ผมคิดว่านี่ก็เป็นทางออกที่ดีที่สุด และเป็นทางออกที่ดีสำหรับ อสมท. ด้วย เขาจะได้ไม่กระอักกระอ่วนใจ ผมก็พูดกับหัวหน้าของเขาว่าถ้าผมออกมันจบไหม เขาก็บอกว่าเขาไม่แน่ใจแต่ตอนนี้การออกน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว แต่ตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าประชาธิปัตย์จะทำอย่างไรต่อ
มีคนสงสัยว่าทำไมไม่ถามให้แรงกว่านั้น
หนึ่งคือมันเป็นเวลาที่เร็วเกินไป ผมเตรียมตัวไม่ได้มาก สอง ผมคิดว่าสไตล์ผมไม่ว่าจะสัมภาษณ์ใครก็จะมีลักษณะหัวเราะ ยิ้ม เพราะผมไม่อยากให้เป็นลักษณะไล่บี้แหล่งข่าว และอยากถามให้ตรงกับประเด็นที่อยากจะถาม แต่ผมอาจจะไม่รุกไล่จนเขาตั้งตัวไม่ได้ บางทีก็พยายามจะแทรก แต่ก็ต้องให้อยู่ในประเด็น ก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้คนฟังว่าไม่แรงพอ
ในภาวะที่การเมืองไทยเป็นการเมืองแยกข้าง และมีสื่อที่ทำหน้าที่โฆษณาชวนเชื่อ ในฐานะสื่อมวลชนคุณคิดควรทำหน้าที่คัวเองอย่างไร
เป้าหมายก็คือการนำเสนอข่าวไม่ว่าจะข่าวการเมือง เศรษฐกิจ บันเทิงอะไรก็แล้วแต่ก็ควรมีเป้าหมายว่าแล้วสังคมประเทศชาติจะได้อะไร
ประการที่สองก็คือเรื่องผู้รับสาร คนทำงานสื่อต้องเพิ่มจริยธรรมวิชาชีพในภาวะที่คนมีทางเลือกเยอะมีการแข่งขัน ไม่ใช่ว่าแข่งกันจนไม่สนใจว่าประเทศชาติจะเกิดอะไรขึ้น ผมคิดว่ามันต้องตอบว่าคนดูได้อะไร และที่สำคัญ คือต้องถามตัวเองว่าประโยชน์มันเป็นเราเป็นหลัก องค์กรเราเป็นหลัก หรือคนดูเป็นหลัก
จากนี้ไปคุณจะทำอะไรต่อ
เป้าหมายที่ผมอยากทำต่อก็คือการสร้างความเข้าใจ การให้ประเทศชาติที่กำลังแยกออกเป็นเสี่ยงๆ ขยับเข้ามาให้ใกล้กัน อย่างกรณีภาคใต้นั้นเป็นตัวอย่างที่เห็นชัดว่าเป็นตัวอย่างของความหลากหลายความขัดแย้ง แล้ว ภาคใต้มีเรื่องศาสนาซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แล้วก็กลายเป็นความรุนแรง แต่ในภาคอื่นๆ ไม่มีเรื่องศาสนาก็อาจจะไม่เห็นความรุนแรงทางกายภาพแต่ในเชิงความคิดมันเกิดขึ้นแล้ว ผมคิดว่าภารกิจของสังคมไทยต้องหาทางทำให้แผ่นดินนี้มันชิดกันมากกว่านี้ซึ่งอาจจะทำในแง่องค์กรหรืออะไรก็ตามแต่ แต่ด้วยความเป็นสื่อก็อาจจะคิดบนหลักการนี้ว่าจะมีรายการอะไรบ้างที่จะสร้างความเข้าใจสมานฉันท์ ทำให้ความแตกต่างหลากหลายความแตกต่างทางความคิดอยู่ร่วมกันได้โยไม่ทะเลาะกัน ผมอยากทำ แต่ไม่รู้จะออกมาเป็นแบบไหน
แต่อาจจะหาช่องลำบากหน่อย
ก็ใช่ แต่ก็คิดว่ามีช่องทาง อาจจะเริ่มจากภาคใต้แล้วค่อยๆ ขยายไปอย่างรายการแผ่นดินรเดียวกนจะเป็นไปได้ไหมว่าขยายจากภาคใต้ไปยังทั่วประเทศ ผมอยากทำแบบนี้
ตอนนี้คุณอยากจะสัมภาษณ์ใคร เพราะอะไร
ผมอยากสัมภาษณ์ท่านประธานองคมนตรีเพราะว่าท่านถูกกล่าวหาเยอะ แล้วเหมือนกับมีคำถามว่าคำพูดของท่านเป็นคำพูดของสถาบันหรือเปล่า เพราะว่าเป็นเรื่องที่เราก็ไม่รู้แล้วบางเรื่องเขาก็มีความหวัง มีความปรารถนาดี มีความตั้งใจ ที่จะให้เกิดความสงบสุข แต่ก็ถูกแปรเจตนานั้นเป็นอย่างอื่น คำพูดของเขา การเคลื่อนไหวของเขาถูกตีความเป็นเรื่องสถาบันหมด แต่จริงๆ อาจจะไม่ใช่ เขาอาจจะพูดในฐานะประชาชนผู้รักชาติอย่างมากก็ได้ ผมเชื่อว่าความรักชาติของพลเอกเปรมนั้นมีมากมาย และด้วยความที่รักมาก บางทีก็ทำอะไรที่ทำให้คนอื่นตีความไปผิดๆ ผมอยากให้เขาได้อธิบายให้ชัดเจน