คลิปเสียง ความยาว 58 นาที
และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์
อยากจะเริ่มต้นตรงนี้ครับ คราวที่แล้วพอออกอากาศไปแล้ว คนวิพากษ์วิจารณ์น่าดู วิพากษ์วิจารณ์ว่าทำไมจัดรายการอะไร นั่งเห็นทั้งตัว พุงพุ้ยและเห็นหัวเข่า ผมบอกว่าผมได้ต่อว่าไปแล้ว พวกนั้นมาดูทีหลัง วันนี้ก็จัดการนั่งโต๊ะมีที่รองแขน เรียบร้อยไม่มีปัญหา พออธิบายเสร็จเรียบร้อยต้องบอกไว้ว่า เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็โดนวิพากษ์วิจารณ์ ทำไมต้องเช็ดจมูกด้วย มันเป็นเรื่องของขนจมูก อันไหนถ้าไม่ยาวถอนออกไปแล้วก็ไม่เป็นไร ถ้ายาวมันโดนก็ต้องเช็ดหน่อย ทำไมต้องเช็ดปาก ขอบปากเวลาคนพูดเยอะ ๆ นานๆ น้ำลายออกมาอยู่ตรงมุมปาก เรารำคาญก็ต้องเช็ด ขอให้อภัยเถอะครับว่าเป็นพฤติกรรมส่วนตัวเล็กน้อย ก็จะพยายามไม่ให้เช็ดบ่อยนัก ต้องชี้แจงนะครับ ไม่อย่างนั้นก็บุคลิกลักษณะท่าทางอย่างไร เคราะห์ดีว่าวันนี้ไม่ไอ ไม่อย่างนั้นโดนว่าอีก
ขอบคุณอธิบดี กปส. และบริษัท ฟาติมา ชี้แจงการยุติรายการของเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ถัดไปเรื่องทีวีที่จะทำช่องไหนดี ผมเรียนแล้ววันนั้น ครั้งแรกที่มาจะเปิดทีวีช่องใหม่ เท่านั้นแหละครับ ผมก็เกิดสนุกขึ้นมา คุณคอยดูแล้วกันว่าจะเป็นอย่างไร ก็วิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่ เลยกลายเป็นเหมือนกับผมโยนหินถามทาง วิพากษ์วิจารณ์กันน่าดูเลยก็แล้วกัน เสร็จแล้วไป ๆ มา ๆ สุดท้ายผมก็รำคาญเต็มที ผมก็ให้สัมภาษณ์ว่าผมจะทำอย่างไร ผมจะปรับปรุงช่อง 11 เป็น Modern Eleven ใช้สำนวนช่อง 9 พอเสร็จเรียบร้อยอย่างนี้ก็จะทำช่องนี้ ตั้งใจว่าจะทำให้ดีเลย หมายความว่าที่ใช้เวลาตรวจสอบอาทิตย์หนึ่ง คือว่ามีโฆษณาเป็นเฉพาะโลโก้ได้ไหม ไม่โฆษณาสินค้า ดูแลต่าง ๆ หมด แล้วอันไหนที่เย็นชาจืดชืด ก็จะทำให้ดีทันสมัย พูดชัดเจนเลยว่าทำทีวีช่อง 11 ให้ทันสมัย แล้วการเสนอข่าวโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ต้องเชียร์รัฐบาล ตรงไปตรงมา ช่องไหนเขาทำอย่างไรทำเหมือนกับเขาเลย แล้วรัฐบาลจะชี้แจงตัวเองอย่างไร ผมบอกมี รายการผมนี่ไง (รายการสนทนาประสาสมัคร) รายการผมอาทิตย์หนึ่ง วันหนึ่ง 24 ชั่วโมง เอา 7 คูณ ได้เท่าไรผมใช้ชั่วโมงเดียว ผมจะมานั่งด่ารัฐบาลเองเหรอ ไม่ใช่ ผมก็ต้องสนับสนุนมาชี้แจง นี่แหละตัวนี้ล่ะ ไม่น่าเกียจนะครับ พูดเองของเราเอง รัฐมนตรีมาออกรายการชี้แจงก็ต้องพูดเรื่องกระทรวงเรื่องงานของเขา เท่านี้พอแล้วครับ นอกนั้นที่ไม่ใช่รัฐมนตรี ไม่ใช่นายกฯ ว่าเลยครับ ให้ความทันสมัย ก็ยังวิพากษ์วิจารณ์อีกหาว่าควบคุมสื่อ ให้สื่อเป็นอิสระยิ่งขึ้น แล้วสื่อรัฐบาลเท่านั้นด้วยว่าจะให้เขาเป็นอิสระยิ่งขึ้น ไม่ดี เรื่องนี้ใครพูดอย่างนี้ ท่านผู้ชมทั้งหลายก็ดูแล้วกันครับว่าคิดแบบอะไรอย่างไร รับรองทำได้ครับ แล้วทำแน่ เมื่อวานนี้พอพูดออกไป นักวิชาการออกมาแล้ว ทำไม่ได้ ช่อง 11 ปรับปรุงไม่ได้ กฎหมายที่ออกมาครอบคลุมถึงช่อง 11 ผมบอกอย่างนี้เกินเหตุแล้ว พูดไปก็อายคนทั้งประเทศเขาก็แล้วกัน จะมาออกกฎหมายไว้ให้ ตัดออกไปช่องเอาไปทำ ยังไม่ทันจะลงมือกันเท่าไร พอทางนี้จะทำ อ้าขาผวาปีกมา ไม่ได้ ช่อง 11 ปรับปรุงไม่ได้ ผมบอกไม่เข้าท่า อย่าออกความเห็นดีกว่าแบบนี้ คอยดูแล้วกันว่าจะทำได้อย่างไร ถูกต้องตามกฎหมายด้วย
ถัดไปคือเรื่องชอบกลในการเสนอข่าว ชอบกลอย่างไร เรื่องแรกพูดจากันดิบดีเรียบร้อย ทีแรกก็บอกว่าผมจะมาออกมติครม. ผมบอกไม่ใช่ อธิบายความว่าเป็นเรื่องที่ว่า 6 พรรคการเมืองมารวมกันตอนหาเสียงก็พูดเหมือนกัน เรื่องมาตรการกันสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์ ตกลงก็มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี) ไปเจรจากับธนาคารแห่งประเทศไทย เขาเกี่ยวตะขอกันอยู่ ทุกอย่างก็ส่งใส่ไม้ใส่มือไปเสร็จเรียบร้อย ไม่น่าจะเป็นปัญหา เขาบอกเรื่องละเอียดอ่อน ไม่ได้ พูดแล้วกระทบ คำว่าเดี๋ยวบาทเดี๋ยวบาทอ่อน หลุดปากไปคำเดียว คุยไปบอกว่าคงให้เวลาเขาสัก 2 เดือน ดูสิว่าจะคืบหน้าไปอย่างไร ไม่ได้คิดอะไรอื่นเลยครับ พอ เสนอข่าว เอาตรงนี้ทันทีเลยครับ สมัครคาดใช้เวลา 2 เดือน ก็เสร็จสิครับอย่างนี้ แสดงว่าหัวหน้ารัฐบาลไปกำหนดเวลาว่าจะต้องอะไรอย่างไร มันสัญชาติญาณของคนก็ให้เวลาประมาณเขาไว้หน่อย ไม่ได้เลยครับ เอาไปขึ้นพาดหัวเลย สมัครคาดการณ์ให้เสร็จ 2 เดือน กลายเป็นว่ารัฐบาลยุ่งอีก ความจริงรัฐบาลต้องดูแล แต่ต้องดูกันเป็นภายใน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ที่เกี่ยวข้อง อธิบายอย่างดี ผมตรวจสอบแล้ว ที่ผมพูดอย่างดีไม่ออก แต่ไปเขียนข่าวออกเองว่าเป็นทำนองคาดการณ์ นี่เป็นเทคนิคของการเสนอข่าวร้ายให้รัฐบาล ต้องทำแบบนี้ครับ พูดจาดี อ่านแล้วเขาก็ฟัง เขาเข้าใจดี แต่ทำให้ร้ายคือว่า เอาคำที่บอกว่า รอดูเขาสัก 2 เดือนจะอย่างไร เท่านั้นแหละครับ เอาอีก หมายความว่าหัวหน้านายกฯ ไปยุ่งยิ่งกว่าเขาอีก อธิบายให้รู้ตอนนี้นะครับว่า ไม่ยุ่ง เป็นเรื่องที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะดูแล ใครจะอะไรอย่างไร สมาคมพ่อค้า ธนาคาร ก็ว่ากันไป รัฐบาลไม่ว่า แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก็พูดกับธนาคารแห่งประเทศไทย ถ้าลองอย่างนี้แล้ว พูดกันเข้าหูตรงไปตรงมา จะดูสิว่าใครจะตะแบงทำข่าว ตะแบงให้เสียหายอีก
ข่าวตะแบงที่สองคืออะไร ท่านผู้ชมนั่งดูเห็นนะครับ นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต้องตอบคำถามเรื่องจะเอาอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน มา คุณหมอท่านเป็นสุภาพบุรุษ ท่านก็ไม่รู้ว่าใครในพรรคพลังประชาชนพูดหรือเปล่า ท่านก็ตอบของท่าน ผมดูแล้วหมอสุรพงษ์ไม่เคยเป็นอย่างนี้ ตอบหลบไปเลี่ยงมา รู้ทันทีเลยว่า ไม่ใช่เป็นต้นตอข่าว แต่ถูกยัดใส่ปาก แต่ความที่เป็นสุภาพบุรุษกลัวว่าใครในพรรคจะวุ่น หรือกลัวนายกฯ อาจจะพูดไป พอเสร็จเรียบร้อย วันศุกร์บ่ายผมให้สัมภาษณ์ 11.30 น. มาถึงถามเลย 111 คนจะเอามาเป็นคณะกรรมการบริหารของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ผมถามว่าใครบอก คุณหมอสุรพงษ์ฯ ผมบอกว่าคุณอย่ามาพูดอย่างนี้ ผมดูหมอสุรพงษ์พูด เขาแสดงความเห็นอึกอัก ๆ เพราะเขาไม่ใช่เจ้าของ คุณไปถามเขา เสร็จแล้วคุณมาเล่าให้ผมฟังเป็นอย่างนี้ ผมบอกเลยว่าคุณไปเอาต้นตอ ถามกับใคร บอกว่าสิว่าใครต้นตอ ฉบับไหน คนไหนที่พูดเรื่องนี้ ตอบไม่ได้ครับ อย่างนี้เขาเรียก “เต๊า” กัน เต๊าแล้วเอามาเล่นอย่างนี้ เสียหายครับ ผมพูดเฉียดไปหน่อยเดียวว่า เอาสักครึ่งทาง ก็ดูเรื่อง 111 คนที่จะไปออกกฎหมายนิรโทษกรรม เท่านั้นแหละโดนว่าแล้วครับ ว่า ผมก็ไม่พูด ตามใจ เรื่องรัฐธรรมนูญ 3 เดือนจะเลิกค่อยว่ากัน นี่ไปสักครึ่งทางคือ 2 ปี ควรจะแค่นั้น แปลว่า 2 ปีจะทำในเรื่องนิรโทษกรรม โดนว่า แล้วอยู่ดี ๆ เพิ่งว่าไปหยก ๆ เป็นไปได้อย่างไรครับ จะเอา 111 คนมาเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ เป็นไปไม่ได้ครับ ผมบอกเลยว่าผมไม่เห็นด้วย และผมก็ไม่ใช่ต้นตอไปคิด คุณบอกมาว่าใครคิด ก็บอกได้เลยว่าใครจะมีตัวคนคิดสุดแท้แต่ แต่เขาต้องปิดแหล่งข่าว คุณปิดไว้สิไม่ว่า แต่ว่านายกฯ พูด รัฐมนตรีคลังก็ต้องยืนยันต่อไปด้วยว่า ไม่มี คิดยังไม่คิดเลยครับ แล้วไปเสนอข่าวอย่างไร แปลว่าเสนอข่าวให้พรรคพลังประชาชนเสียหาย เสนอข่าวให้รัฐบาลเสียหาย ใครจะคิดออกมา ไม่คิด แต่เสนอข่าวกันแล้ว ผมไม่เห็นด้วย 111 คน ผิด แต่ถ้าสภาพสังคมเป็นอย่างนี้ ผมก็ไม่หยิบต้องมา ปล่อยเขาไปอย่างนั้น ยังไม่ต้องยุ่ง วันนี้ที่พูดต้องการย้ำว่า ไม่ ใครเป็นคนเสนอข่าว คุณรับผิดชอบ น่าประหลาดตรงพวกเสนอข่าวไม่ต้องรับผิดชอบ คือ เต๊าเอาข่าวออกมา เอามาให้เสียหาย
ผมยกตัวอย่างเรื่องมาตรการกันสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์ เรื่อง 111 คนจะมาเป็นกรรมการ นี่แสดงให้เห็นว่ามีคนจะเอาข่าวอย่างนี้มาทำสกปรก และให้เสียหาย เสียหายประธานสภาฯ ไหมครับ เสียหายครับ ผู้คนไม่รู้ก็นึกว่าข่าวรั่วมาจริง ผมยืนยันว่าไม่รั่ว ใครจะว่าอย่างไร เชื่อผมไหมว่าไม่รั่ว ออกข่าวอย่างนี้เพื่อต้องการอะไร เพื่อต้องการให้กระทบกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 5 คน อย่างนี้ว่าอย่างนั้น ยังไม่ต้องไปทำอะไรเลย ปล่อยให้ธรรมชาติ ผมนี่เวลานั่นผมป้องกันกกต. ตอนเลือกตั้งผมก็ป้องกัน กกต. เลือกตั้งแล้วก็ยังป้องกันอยู่ ผมบอกเลยว่ามาจนถึงวันนี้ เลือกตั้งกันมาได้ตลอดรอดฝั่ง ตอนเลือกตั้งเสร็จทั่วโลกมาชมเชยเลือกตั้งดี กกต.เขาทำงาน มีคนไปแทรกแซงกกต. แอบข้างหลัง ผมบอกเลยว่าผมกัน กกต. เลยทันที และผมแสดงให้เห็นเลยว่า มีจริง แล้วลาออกไปจริงไหม เข้ามาจริงไหม คนเข้ามาแล้วไม่ใช้เงินจริงไหม จริงทั้งนั้นครับ แต่พวกเสนอข่าวไม่ชอบเสนอความจริงตรงนั้น ไม่เสนอครับ เราก็ชี้แจงว่าเขาถอยออกไปแล้วก็พอแล้ว กกต.ก็เป็น กกต. กำลังนี้กำลังทำงานจะเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ก็ให้ท่านทำให้ตลอดรอดฝั่งนะครับ คือว่า 5 ท่าน ผู้พิพากษา 4 คน อัยการ 1 คน จะด้วยอย่างไร ท่านจะเถียงอย่างไรในประเด็นของท่านเอง แต่ทั้งหมดแล้วต้องถือว่ากกต.ชุดนี้ ได้ทำคุณให้บ้านเมืองนี้ คือมีการเลือกตั้ง จัดการเลือกตั้ง เสร็จเรียบร้อย ใครจะมาขอแทรกแซงต่าง ๆ ท่านก็ดำเนินการของท่านจนเสร็จ สุดท้ายเขาต้องชมเชยว่าการเลือกตั้งประเทศไทยเรียบร้อย ไม่มีข่าวอื้อฉาว จะใบเขียว ใบแดง อะไร ก็ว่ากันไป ผมบอกจริง ๆ ว่าเป็นหน้าที่ของผมจะต้องดูแล พวกเล่นไม่จบนะครับ
ยังมีนะครับ หัวหน้าหน่วยงานส่งคนออกไป จะไปตามไปขู่ไปเข็ญ ยังทำอยู่ครับ มือที่มองไม่เห็นยังดำเนินการอยู่ แต่ต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของผมเอง ไม่เลิกครับ มีรัฐบาลแล้วจนถึงวันนี้ยังไม่เลิก ไม่เลิกเรื่องไหนครับ เรื่องรังควานเรื่องการเลือกตั้ง ยังดำเนินการอยู่ เอาล่ะใครเป็นหัวโจกดำเนินการ คุณก็ระมัดระวังตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน ต่อไปนี้ถึงต้องใช้มาตรการว่าคุณทำทำไม คุณต้องการจะทำลายล้างพรรคการเมืองนี้ ใครสั่ง จะต้องได้ตัวแน่นอน ไม่มีปัญหาล่ะครับต่อไปนี้ ที่พูดจาไม่ได้ทำอะไรให้ขุ่นมัว แต่ถ้าไม่พูดให้รู้เสียอย่างนี้ ไม่เลิกครับ ยังไม่เลิก ยังเอากันอยู่ ยังพยายามอยู่ ยังสั่งกันอยู่ ผมไม่อยากจะพูดแล้ว มือคนที่มองไม่เห็น จะต้องพูดให้รู้ เพราะว่ายังดำเนินการอยู่ คนในต่างจังหวัดยังรายงานเข้ามาอยู่ว่า ความสกปรกยังแผ่ไปข่มขู่อยู่ ไม่น่าเชื่อ ทั้ง ๆ ที่มีรัฐบาลแล้วนะครับ ผมต้องตรงไปตรงมาอย่างนี้ครับ แล้วผมรับผิดชอบในสิ่งที่ผมพูด อย่าลืมนะครับ กกต.ท่านเชิญชวน ท่านจะทำงานอะไรต่าง ๆ ผมก็ต้องมีหน้าที่สนับสนุน ท่านจะเลือกตั้งส.ว. ก็ขอให้ท่านดำเนินการให้เรียบร้อย หน่วยงานราชการทุกหน่วยก็ขอให้ความสนับสนุน ไม่มีปัญหาอื่นครับ วันนี้ต้องพูดถึงท่านเพราะเหตุว่า คณะอนุกรรมการ กกต. ก็โดนคนทำสกปรก เพื่อจะให้ กกต. 5 คนเดือดร้อนอีกว่า รายงานอะไรออกไปอย่างไร เสียหายครับ ถ้าไม่มีอะไร ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ จะออกหัวออกก้อย ก็ตามธรรมชาติ ผมไม่ว่าอะไร คุณได้โปรดเข้าใจตามนี้ด้วย
ถัดไปพูดถึงเรื่องที่ต้องโดนตำหนิอีก คือผู้สื่อข่าวคอยตำหนิ ไปไหนที่มีรายการขึ้นมาแล้วไม่บอก ก็ถูกว่า เชื่อไหมครับ ที่แล้วมาคือยังไม่มีอะไรเป็นสาระสำคัญมากมายนัก ผมก็ไม่เกี่ยงว่าได้ทำอะไรมา ประชุมคณะรัฐมนตรีวันอังคาร เขาบอกงดประชุมสภาฯ วันพุธ วันพฤหัสบดี พอผมไปถึง 10.00 น. งด ผมบอกถ้าอย่างนั้นก็ทำงานตามหน้าที่ถวายเจ้านาย คือเราเป็นกรรมการที่จะต้องไปดูแลเรื่องงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ก็ไปดู ตอน 10.00 น.คิดจะไปดู ถูกต่อว่า ๆ ไม่บอก ไปกันเต็มหมด เขาแจ้งนะครับ แต่แจ้งกะทันหันหน่อย ไปรอผมเลย ผมจะไปเงียบ ๆ ธรรมดา เขาแจ้งเสร็จเรียบร้อย ไปรอ รถไปติดอยู่ยมราช ไปช้า 25 นาที ก็เสียหายนะครับ ไม่นัดหมาย ผมจะไปดูของผมเอง ผมไปดูเรื่องการบูรณะซ่อมแซมราชรถ และไปดูบริเวณสนามหลวง เขาจะขยับที่ทางกันอย่างไร บ่ายก็ไปเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช ไม่มีอะไรอื่น แต่ที่จะบอกไว้ตรงนี้ วันนี้ต้องว่าผมอีก เพราะว่าวันนี้มีงานพุทธศาสนา จัดที่สนามหลวงไม่ได้ ก็ไปจัดที่สวนลุมพินี ทางพระท่านก็แจ้งมา ผมก็ต้องไป วันนี้ 14.00 น. ผมจะไปสวนลุมพินี ไม่มีหรอกครับ ผมเพิ่งรู้ตอนเช้าวันนี้ แล้วผมจะไปบอกใครที่ไหน พูดกันบอกฝากใครก็ไม่ได้นะครับ คนรับฝากเดือดร้อน ก็บอกเสียตรงนี้ผมจะไปสวนลุมพินีบ่ายสองโมง คุณจะไปทำข่าว หรือไม่ทำข่าวสุดแท้แต่ แต่อย่ามาว่าอีกแล้วกันว่าไปไหนไม่บอก
ทีนี้ถึงเรื่องที่จะตั้งใจมาคุยวันนี้ครับ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ เป็นวันมาฆบูชา ทุกคนต้องเข้าใจ ต้องรู้ว่าอะไรอย่างไร จาตุรงคสันนิบาต อะไรต่าง ๆ เรียนหนังสือมาต้องรู้กันหมดแล้ว ที่รู้คือว่าขอได้อ้างอิงทั้งพุทธศาสนาหน่อย ผมนี่แหละครับใช้ธรรม ใช้หลักการในพุทธศาสนา เอามาใช้ในการบริหารบ้านเมือง คือถ้าเราศึกษาเรื่องพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร เรื่องวันมาฆบูชา ไม่ใช่วันวิสาขบูชานะครับ วิสาขบูชานั่นคือประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ปฐมเทศนา ในวันเดียวกัน ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ สมัยเด็ก ๆ ต้องเรียน สมัยนี้ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ 4 เรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อธิบายความง่ายๆ คือว่า ท่านได้ตรัสรู้ว่าการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เป็นทุกข์ ในหลักพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าต้องไปหาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ถึงจะรู้ว่าเมื่อดับทุกข์แล้ว มีความสุขอย่างไร แล้วสุดท้ายก็สอนเรื่องหนทางไปสู่ความดับทุกข์ ทุกข์ สมุทัยก็เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ นิโรธก็การดับทุกข์ มีความสงบอย่างไร มรรคคือหนทางไปสู่ทางดับทุกข์ ผมได้คุยเสมอเรื่องจราจรติดขัด ก็เป็นทุกข์ เงินเดือนน้อยก็เป็นทุกข์ ไม่มีเงินใช้ก็เป็นทุกข์ มีเงินมากก็เป็นทุกข์ แล้วทำอย่างไร ความทุกข์ต่าง ๆ เหล่านี้วันนี้ราคาสินค้าแพง โดยไม่มีเหตุผล ย่อมเป็นทุกข์แน่นอน ลองฟังดู ผมได้รับความทุกข์ของพ่อค้าแม่ค้ามา ลองฟังเสียงดู
คำถาม อยากให้ท่านนายกฯ ช่วยหน่อย เพราะตอนนี้มีแม่ค้าหลายคนที่ค้าขายข้าวแกงหรืออาหารตามสั่ง เขาจะบอกว่าของแพงมาก ๆ เลย อยากให้ท่านนายกฯ ช่วยตรงนี้ด้วย เพราะของทะเลตอนนี้ก็แพงมาก ๆ ไหนจะค่าน้ำมัน ตอนนี้ก็เดือดร้อนกันไปหมด ขอฝากท่านนายกฯ ด้วย
คำถาม ช่วยบอกท่านนายกฯ และกระทรวงพาณิชย์ด้วยครับ ประชาชนเวลานี้ซื้อหมู บ่นกันแพง ค้าขายก็จะขายกันไม่ได้แล้ว คนจ่ายกับข้าวมาบอกว่าหมูทำไมแพงนัก ไม่มีการแก้ไขหรืออย่างไร และขอให้รีบ ๆ หน่อย ประชาชนสำคัญที่สุดเลยครับ
ขอบคุณทั้ง 5 ท่าน ท่านผู้ชมคงจะเห็นนะครับ เคราะห์ดีที่ผมพูดไว้อาทิตย์ที่แล้วว่า วันนี้สารคดีประจำสัปดาห์ของผมคือ แก้เศรษฐกิจด้วยเศษสตางค์ ตั้งใจจะมาพูด และแสดงความเห็นไว้หลายที่หลายทางมาแล้ว วันนี้จะพูดกับประชาชนทั้งประเทศ ทางกรมประชาสัมพันธ์ก็เก่ง เขาไปถามพ่อค้าแม่ค้า ไม่ได้มีการตกแต่งนะครับ ไปถามแล้วก็เอามาสัก 4 รายการ นี่แหละครับความทุกข์เรื่องสินค้าราคาแพง ผมจะบอกให้ฟังครับ สินค้าราคาแพงได้ แต่ต้องแพงโดยมีเหตุผล โดยมีสัดส่วนของความแพง เวลานี้น้ำมันพืชขึ้นราคาไปทีหนึ่งขวดละ 4 บาท หมู 100 บาทขึ้นไป 120 บาท ขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ นี่คือทุกข์ ต่อไปนี้ผมจะคุยเรื่องสมุทัย ท่านผู้ชมต้องทนฟังหน่อย ฟังผมคุยเรื่องนี้ก่อนแล้วถึงจะรู้ว่า มรรค สุดท้ายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดมาตรการอะไรไว้อย่างไร จะคุยเรื่องสมุทัยคือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
อยากจะอธิบายอย่างนี้นะครับ เราคนไทยชอบเทียบ อะไรก็เทียบต่างชาติ เทียบไปเทียบมา อ้างต่างชาติเสมอเลย คราวนี้ก็สมควรอ้าง ต้องอ้างประเทศสหรัฐอเมริกา ผมไปเรียนหนังสือที่นั่นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ก่อนหน้าผม คนไปเรียนหนังสือรุ่นแรกๆ สงครามโลกเลิก ประมาณ 50-60 ปีที่แล้ว และก่อนหน้านี้สงครามโลกครั้งที่ 1 ที่อเมริกา เขามีเงินใช้ เขามีอยู่ 6 เหรียญ มี 1 ดอลลาร์ เหรียญ 50 เซ็นต์ เหรียญ 25 เซ็นต์ คนไทยไปอยู่ที่นั่นเรียกเหรียญสลึง เหรียญ 10 เซ็นต์ เรียกว่า dime เหรียญ 5 เซ็นต์ เรียกว่า nickel และเหรียญทองแดง เรียกว่า penny penny เล็กที่สุดเป็นสีทองแดง nickel ใหญ่กว่ามีใส่ข้างในด้วย 5 เซ็นต์ แล้ว dime เนื้อเนียนบางเล็ก 10 เซ็นต์ เหรียญสลึงเหมือนเหรียญ 5 บาทของเรา แต่กลม เสร็จแล้วเขาก็มีเหรียญ 50 เหรียญ 100 เหรียญ 1 เหรียญ เหรียญละเหรียญเขาเลิกแล้ว เดี๋ยวนี้ไปอยู่ในคาสิโนหมด ไปใช้เวลาแจ็คพ็อตไหลลงมา 50 เซ็นต์ก็อยู่ในคาสิโน 25 เซ็นต์เป็นเหรียญที่ใช้หยอดเวลาทำ slot machine ต่าง ๆ ...............
ย้อนไป 30 – 40 ปี ที่คุยนี้เพราะท่านที่นั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ยังพอนึกออก ข้าวแกงจานละ 3 บาท ประเทศไทยข้าวแกงจานละ 3 บาท ราคาแถวบ้านข้าวราดแกง 3 บาท วันดีคืนดีค่าครองชีพขึ้น ข้าวแกงขึ้นเท่าไร 3.10 บาท 3.25 บาท 3.50 บาท 3.75 บาท ไม่มีข้าวแกงขึ้นมาราคาจานละ 4 บาท 3 บาทขึ้นเป็น 4 บาท คนร้องโวยวายไหม ไม่โวยวาย ทำไม เศษสตางค์ตอนนั้นเหรียญ 25 สตางค์ยังมี 50 สตางค์ยังมี แต่เขาขึ้น 1 บาท ไม่มีใครทักท้วง ข้าวแกงจาก 3 บาทเป็น 4 บาทเฉย ๆ ทราบไหมว่าขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ 33 เปอร์เซ็นต์ อาหารการกินขึ้น 33 เปอร์เซ็นต์นี้ถ้าเป็นอเมริกาเกิดจลาจลแล้ว ของเราเฉย ๆ 3 บาทขึ้นเป็น 4 บาท อยู่ได้พักเดียว รำคาญเรื่องสตางค์จะเอา 5 บาทให้ได้อย่างไรไม่ทราบ ข้าวมากหน่อยแกงมากหน่อยขึ้นไป 5 บาท ไม่มีใครว่า ข้าวแกงจาก 4 บาทขึ้นเป็น 5 บาท 25 เปอร์เซ็นต์ ครั้งแรกขึ้น 33 เปอร์เซ็นต์ เผลอประเดี๋ยวเดียวข้าวแกงขึ้นอีก 25 เปอร์เซ็นต์ เป็น 5 บาท ข้าวแกง 5 บาทเป็น 6 บาท ขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ ข้าวแกง 6 บาทไม่มี 7 บาท ไป 8 บาท 6 บาท ไป 8 บาท 33 เปอร์เซ็นต์อีกแล้ว ข้าวแกง 8 บาทไป 10 บาท 25 เปอร์เซ็นต์อีกแล้ว เผลอประเดี๋ยวเดียว 10 ไป 12 20 เปอร์เซ็นต์ 12 ไป 15 25 เปอร์เซ็นต์อีกแล้ว 15 ไม่มี 16 - 17 – 18 - 19 ไม่มี 15 ไป 20 33 เปอร์เซ็นต์อีกแล้ว เวลานี้ข้าวแกงมาตรฐานอยู่ในตลาด 25 บาท จะขึ้นเป็น 30 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นเป็น 30 บาท ขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์อีกแล้ว เห็นไหมขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ ตรงนี้ท่านดูก็แล้วกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับราคาข้าวแกง ระยะเวลาที่ผ่านมา 30 ปีที่ว่านี้ ข้าวแกงขึ้นจากจานละ 3 บาท มาเป็นจานละ 30 บาท 10 เท่า ปัญหาอยู่ที่ว่าท่านลองโปรดดู พ่อค้าแม่ค้าข้าวแกงอย่าว่าผมก็แล้วกัน ต่อไปนี้เป็นความจริงที่ปรากฏขึ้น ย้อนลงไปหน่อยเอาตอนที่ว่าข้าวแกงจานละ 20 บาท แล้วข้าวแกงบอกว่าน้ำมันแพง อะไร ๆ แพง แก๊สแพง ขึ้นมาเป็นจานละ 25 บาท ถามว่ายุติธรรมกับผู้บริโภคไหม ขึ้นมาทีเดียว 25 เปอร์เซ็นต์ โปรดดู สินค้าเวลานั้นถ้าดูกันจริง ๆ เครื่องปรุงอะไรต่ออะไรทั้งหลายทั้งปวง วันหนึ่งค่าเครื่องปรุงอาจจะจ่ายแพงขึ้นไปสัก 50 บาท แม่ค้าขายข้าวแกงเฉลี่ยขายได้วันหนึ่ง 100 จาน แม่ค้าขายได้ 100 จาน แม่ค้าลงทุนมีกำไรพอสมควร วันหนึ่งข้าวของแพงขึ้น คือแทนที่จะได้กำไรอีกสัก 50 บาท ก็หดไปเพราะของแพง 50 บาท ถ้าหากเป็นความเป็นธรรม ถ้าแม่ค้าขึ้นข้าวแกงจานละ 1 บาท คือขาย 21 บาท แม่ค้าขาย 100 จาน วันหนึ่งแม่ค้าก็ขายได้กำไรมากกว่าธรรมดา 100 บาท แล้วไปจ่ายค่าที่แก๊สแพงอะไรแพงไปอีก 50 บาท แม่ค้าก็กำไร 50 บาท เอาไว้ไปซื้อของอะไรที่แพงขึ้นด้วย นี่คือความเป็นธรรม
ถามว่าอย่างนี้ ความเป็นธรรมอย่างนี้เกิดได้หรือไม่ ต้องเกิดได้หากว่าเรามีเศษสตางค์สำหรับทอน ถามว่าเหรียญบาทเป็นเศษสตางค์ไหม เห็นเหรียญตั้งบาทจะนับเป็นเศษสตางค์ก็ได้ เมื่อตอนที่มีเหรียญ 25 สตางค์ เหรียญ 50 สตางค์ เดี๋ยวนี้ 1 สตางค์ก็ยังไม่เลิกใช้ เขาเอาไว้ใช้สำหรับเวลาแสดงว่าเงินคงเท่าไร ต้องแสดงให้ดูว่ามีเท่าไร แต่ 25 สตางค์ เหรียญ 50 สตางค์ ยังพอคิดกันอยู่ได้อยู่ในตลาด ซูเปอร์มาร์เก็ตเขาใช้เครื่อง ออกมาเป็นทศนิยม .25 .50 .75 ไม่เป็นปัญหา นั่นความเป็นธรรมพอมี แต่ว่าเหรียญ 1 บาท ถ้าคนไทยมาคิดวันนี้ แล้วเทียบกับอเมริกาเมื่อ 100 ปีก่อน เมื่อ 50 ปีก่อน เมื่อ 40 ปีก่อนที่ผมไปเรียนหนังสือ ถ้าคิดวันนี้ ถ้าเหรียญ 1 เซ็นต์ของอเมริกา คิดกันว่ากำลังนี้ของเหรียญไทยเล็กที่สุดที่มองเห็นได้ 1 บาท ถ้าเราจะเก็บเหรียญ 1 บาท 5 บาทไว้ เก็บ 10 บาทไว้ เอา 3 เหรียญนี้ และธนบัตรก็ใบละ 20 บาท ใบละ 50 บาท ยังใช้อยู่ ใบละ 100 บาทยังใช้อยู่ ธนบัตร 3 ใบ 20 – 50 – 100 บาท เหรียญ 3 อัน 1 บาท 5 บาท 10 บาท ถ้าเราเก็บอันนี้ไว้ได้ เก็บ 3 อันนี้ไว้ได้ ลองดูตอนแม่ค้าขึ้นราคา แม่ค้าขึ้นราคาแม่ค้าขายข้าวแกง 20 บาท เขาซื้อ 21 บาท ถ้า 21 บาท ก็ให้ไป 30 บาท ทอน 9 บาท เหรียญ 5 1 อัน เหรียญบาท 4 อัน บรรยากาศนี้เกิดได้ไหม ผมบอกถ้าใครอยู่กรุงเทพฯ แวะไปดูที่ร้านนิตยา ร้านนิตยาที่ขายน้ำพริก เขาขายกับข้าวด้วย ที่ปากซอยรามบุตรี ถนนจักรพงษ์ ไปดูสิครับ เหรียญบาทเป็นจานเลย คือเขายินดีทอน แสดงว่าเขาต้องมีราคาสินค้าของเขาซึ่งต้องทอนด้วยเศษสตางค์ เหรียญบาทกลายเป็นเศษสตางค์ที่เล็กที่สุดในประเทศไทย เอาอย่างนั้น ถ้าเก็บไว้ได้ ซื้อเท่าไร 21 บาทเขาก็ทอน 9 บาท ซื้อ 26 บาทเขาทอน 4 บาท เขาจัดเขาทอนอยู่ตลอดเวลานี้ ผมเห็นแล้วบอกว่าผมจะเอาไปคุยให้ฟัง ผมเห็นเหรียญบาทกองไว้อย่างนั้นน่าชื่นใจ แปลว่าเขาเต็มใจทอนครับ แปลว่าแม่ค้าถ้าขึ้นราคา ข้าวแกงขาย 20 บาทขึ้นไป 21 บาท แม่ค้าขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ ราคาอาหารขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์พอสมควรแก่เหตุ วันหนึ่งขาย 100 จาน ก็ขายได้เพิ่มอีก 100 บาท ของทั้งหลายแพงขึ้นอีก 50 บาท แม่ค้าก็ไปซื้อของแพงอื่นอีก 50 บาท นี่คือความเป็นธรรมในสังคม เรื่องอย่างนี้เราคิดกันบ้างไหมว่าเพราะเราเอาเศษสตางค์โยนทิ้งไป เพราะเราไม่เข้าถึงเศษสตางค์ เพราะไม่มีความร่วมมือทุกฝ่าย และเพราะทางราชการเองไม่เอาใจใส่
ขอเล่าถึงเรื่องเศรษฐกิจและเศษสตางค์ให้ฟังอีกนิดหนึ่ง ท่านทั้งหลายที่อายุใกล้เคียงผม อ่อนแก่กว่านั้นหน่อย แต่ท่านต้องนึกออก ไม้ขีดไฟบ้านเรา เป็นตัวให้เห็นเลยว่าเศษสตางค์หายไปแล้วเดือดร้อนอย่างไร ไม้ขีดไฟตอนผมเป็นหนุ่ม ๆ ไม้ขีดไฟกลักละ 25 สตางค์ ไปดูอัตราส่วนขายส่งกลักละ 18 สตางค์ คนขายได้ 7 สตางค์ เศษสตางค์ตอนนั้น 1 สตางค์ไม่ใช้ไม่หยิบกันแล้วก็ตาม แต่ว่า 25 สตางค์ยังใช้อยู่ ไม่ขีดไฟกลักละ 25 สตางค์ คนขายส่งขายกันมานานเลย จะตราอีแปะหรือตราพญานาค 25 สตางค์ ต้นทุน 18 สตางค์ ขายปลีก 25 สตางค์ กำไร 7 สตางค์ อยู่มาพักหนึ่งหลายปีต่อมาบอกว่าไม่ไหว ต้องขึ้นราคาแล้ว เขาขอขึ้นอย่างไร เขาขอขึ้นราคา 4 สตางค์ คือขึ้นราคาจากขายส่ง 18 สตางค์เป็น 22 สตางค์ ให้ขายปลีก 30 สตางค์ แล้วคนขายปลีกเคยได้ 7 สตางค์ ก็ได้เป็น 8 สตางค์ คนนั้นได้ 4 สตางค์ ทางนี้ได้ 8 สตางค์ แล้วเป็นอย่างไร ไม้ขีดไฟกลักละ 30 สตางค์ได้หรือไม่ ไม่ได้ เพราะว่าสตางค์ที่จะทอนตรงนั้น ไม่มีสตางค์จะทอนกันตรงนั้นแล้ว เขาทำอย่างไร เขาขาย 3 กลัก 1 บาท ยุติธรรมครับ เขาอาศัย 3 กลัก 1 บาท ไป ๆ มา ใครจะซื้อไม้ขีดไฟทีละ 3 กลัก พวกสูบบุหรี่เยอะ ๆ เมื่อก่อนนี้เขาซื้อไม้ขีดไฟ เขาซื้อกลักเดียว กลักเดียวเอาเท่าไร 50 สตางค์ เห็นไหมโดนเข้าไปอีกแล้ว อยากซื้อกลักเดียว 50 สตางค์ 33 สตางค์ไม่มีสตางค์มาทอน เขาเสีย 50 สตางค์ บัดนี้ไม้ขีดไฟกลักละ 1 บาท ขึ้นราคาตอนไหน ตอนขึ้นจาก 50 สตางค์ไม่เป็น 75 สตางค์ด้วย ขาย 1 บาท ขึ้นราคา 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะอะไร เพราะไม่มีเศษสตางค์จะทอนกัน เลยขึ้นกันแบบนี้
ถามว่าถ้าวันนี้เรายังเก็บเหรียญบาทของเราไว้ได้ แล้วผลิตเหรียญบาทออกมา ขอนินทาความไม่เข้าท่าหน่อย ไม่รู้ใครเป็นคนต้นคิด ทำเหรียญ 2 บาทออกมา เคราะห์ดีที่ออกมาแล้วกระจายมาพอสมควร สับสนพอสมควร คนนับผิดนับถูก เสียหายกันไป ทำเหรียญ 2 บาท ทำทำไมเหรียญ 2 บาท ผมก็ลองไปหาสาเหตุ ทำไม เขาบอกว่าเหรียญเปล่า คือตัวเปล่าไปซื้อจากต่างประเทศ เราไม่ได้ผลิตเอง มีเกาหลี หลายประเทศในยุโรป ในเอเชียเกาหลีผลิต ขายเหรียญตัวเปล่า เหรียญที่ขนาดที่เราเลือกไว้แล้ว 1 เซ็นติเมตรกว่า ๆ กี่มิลลิเมตรแล้วแต่ ซื้อตัวเปล่ามา ถ้าสมมติว่าเราซื้อมา 50 สตางค์ เราไปตัว 1 บาทก็กำไร ทำอย่างนี้ 75 สตางค์กำไร บัดนี้เหรียญตัวเปล่านี้สมมติขึ้นมาสัก 1 บาทกับ 2 สตางค์ มูลค่า 1 บาทกับ 2 สตางค์ เขาคิดอย่างไร เอาเหรียญให้โตกว่าเหรียญบาทนิดหนึ่ง แล้วพิมพ์เหรียญเป็น 2 บาท โตกว่านิดหนึ่งแล้วเป็น 2 บาท แปลว่าคิดอย่างเดียวคือลงทุนในการทำสตางค์ คือหมายความว่ามีกำไรในการทำสตางค์ขึ้นมาอย่างนั้น คิดตรงนั้น เลยออกเหรียญสองบาท แปลว่าวัสดุโตขึ้นมานิดหนึ่งแต่มูลค่าได้เป็น 2 บาท คิดแบบนี้ขอประทานโทษครับ คือคิดแบบไม่คิดถึงอะไรในบ้านเมืองเลย
ต้องที่อเมริกา อเมริกาคิดอย่างไร ผมบังเอิญได้อ่านสารคดีเรื่อง 1 penny ของอเมริกา สมัยก่อนเนื้อทองจริง ๆ ทั้งหมดมูลค่าเท่านั้น ต่อมาทองแดงแพงขึ้น คนอเมริกันทำอย่างไร เขารักษาเหรียญทองแดงอันนี้ไว้โดยวิธีการใส่วัสดุอย่างอื่นที่ถูกกว่าทองแดงลงไป ใส่ลงไป ๆ ราคาก็ยังไม่เกินมูลค่า เขาแก้ไข สียังคงเป็นทองแดงอย่างนั้นอยู่ แต่ว่าราคาไม่เกินมูลค่า เห็นไหม แม้วันหลังเขาบอกราคาเกิน 1 penny มาแล้ว แต่เขาก็ต้องผลิตเหรียญ 1 penny เพื่อรักษาการซื้อ 98 ทอน 2 97 ทอน 3 เห็นไหมคนอเมริกันมีความคิด เขาคิดรักษาราคาสินค้าด้วยการเก็บเศษสตางค์ไว้ แม้จะต้องแพงกว่าตัวนี้ แต่ที่ต้องจ่ายแพงไป รัฐบาลจ่ายแพงเท่าไรแต่ราคาสินค้าที่ไม่ขึ้นพรวดพราดนั้นคุ้มค่ากว่ากัน นี่คือวิธีความคิดของคนที่เขาคิด คิดของเราเรื่องเศษสตางค์ ตอนคิด 1 บาทเป็น 2 บาท เพื่อจะรักษาว่า จะได้มีความสบายใจว่าราคามูลค่าไม่เกินกว่าราคาหน้าเหรียญ เห็นไหม แม้ถ้าเกินมาหน่อยแล้วยังทำอยู่ ถ้าอย่างนี้ 1 บาท 2 สตางค์ มูลค่า 1 บาท เราก็รักษาที่เสีย 2 สตางค์ แต่จะทำให้เหรียญนี้ได้ใช้ คิดอย่างนี้ให้ฟังก็เพื่อจะบอกว่ายังไม่สายเกินไป
กระทรวงพาณิชย์ควบคุมราคาสินค้า 33 รายการ มาถึงตรงนี้ มาถึงตรงที่ว่าบอกถึงสมุทัยแล้ว สินค้าถูกต้องดีแน่นอน นั่นคือนิโรธ คนสบายใจ ไม่ใช่เรียกว่าถูก เรียกว่ายุติธรรม เรียกว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น บัดนี้รัฐมนตรีของผมชื่อมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อยู่กระทรวงพาณิชย์ เป็นรองนายกรัฐมนตรีด้วย ดำเนินการ คุณมิ่งขวัญฯ ไม่ได้หารือผมเลย ได้ดำเนินการทำเหมือนที่ผมคิด และกระซิบบอกว่าผมได้ดำเนินการแล้ว 33 รายการ ทำอย่างไร ขอสนทนาขอตรวจสอบ แปลว่าอย่าง น้ำมันพืชขึ้นทีละ 4 บาท ขึ้นกระโดด 2 หน จาก 29 บาทกลายเป็น 40 บาท จะเป็น 50 บาท ได้อย่างไรครับ อั้นมานานขนาดไหนอย่างไร ถ้าจำเป็นไม่ว่า แต่ว่าถ้าไม่จำเป็นล่ะ เพราะฉะนั้น ดูสิครับเขาคำนวณแล้วเวลาแก๊สขึ้นราคา แม่ค้าทำกับข้าวแก๊สขึ้นราคานี้ เขาคำนวณเสร็จเลย ซึ่งก็ต้องน่าฟัง ข้าวจานหนึ่งแก๊สขึ้นราคาตามที่ขึ้นมาใหม่แล้ว เฉลี่ยข้าว 1 จาน 4 สตางค์ ความแพงของแก๊สที่ขึ้นอยู่ในจานข้าว 4 สตางค์ แล้วอะไร ๆ กับข้าวกับปลาแพงขึ้น ถ้าหากว่าแพงขึ้นสัก 1 บาท แล้วเวลาขายก็ปรับราคาขึ้นมา 2 บาท อย่างนี้เป็นธรรม เรียกว่าพอเป็นธรรม มันขึ้นมา 1 บาทเราเอาเป็น 2 บาท เพราะคนค้าขายจะได้มีกำไรด้วย แต่นี่ขึ้นมาเป็น 5 บาท อีก 3 บาทไปอยู่ในกระเป๋าของคนพวกนั้น 21 บาทไปเป็น 25 บาท แม่ค้าขายของซื้อของแพงไปวันหนึ่ง ขายของ 100 จานซื้อของแพงไปวันหนึ่ง 50 บาท ได้กำไรจานละ 1 บาทคือ 5 เปอร์เซ็นต์ จานละ 1 บาท 100 จานก็ได้วันละ 100 บาท ชดเชยความแพงที่ซื้อกับข้าว 50 บาท เอาไว้เอง 50 บาท ไปซื้อของอื่นแพง นี่เป็นธรรม แต่แม่ค้าขาย 25 บาท ขึ้นไป 25 บาทเลย แม่ค้าเสียแพง 50 บาทแต่ว่าได้เงินวันละ 500 บาท จานละ 5 บาท 100 จานก็ 500 บาท อย่างนี้เป็นธรรมต่อสังคมหรือไม่ อันนี้คุณมิ่งขวัญฯ ได้เริ่มต้นไปดู จัดการไปตรวจสอบทั้งหมด จะเจรจาความ คือเอามาดูกันเลยว่าเท่าไร แล้วต้องให้ขึ้นหรือไม่ ขึ้นต้องให้ขึ้น ต้องขึ้นแต่ว่าต้องมีความเป็นธรรม ในขณะเดียวกัน เมื่อดูตรงนี้เสร็จแล้วต้องดูรายได้ขึ้น
แล้วเราจะตกลงกันได้ไหมครับว่าสื่อสารมวลชนต่อไปนี้ รัฐบาลจะปรับขึ้นเงินเดือน ไม่เป็นข่าว จะมีใครตายไหมที่โรงพิมพ์ คือไม่เสนอข่าวว่าจะขึ้นเงินเดือน คือมาช่วยกันช่วยสังคมไทย ถ้าไม่ได้พาดหัวว่าขึ้นเงินเดือนแล้วจะเป็นอย่างไรไหม ขอประทานโทษเมื่อสักครู่นี้ วันนี้จะต้องถูกคนด่าอีก ไปถามว่าถ้าไม่ได้พาดหัวเงินเดือนขึ้นจะมีใครโรงพิมพ์ตายไหม ขอถอนครับเมื่อสักครู่นี้ เดี๋ยวก็ว่าอีก นี่เป็นแบบของผม ที่ว่าอดไม่ได้ต้องพูดกระแทกแดกดันไปอย่างนี้ ผมว่าหลายคนก็คิด ใครเป็นผมก็อาจจะต้องพูดอย่างนั้น ก็ถามขึ้นมา ประเทศอเมริกาไม่ล่มสลายเพราะไม่เสนอข่าวเงินเดือนขึ้น ไม่ล่มสลาย เพราะไม่จำเป็นต้องเสนอข่าวเงินเดือนขึ้น 3 หน ทำไมประเทศอเมริกาไม่ล่มสลายที่ว่าเงินเดือนเป็นความลับของแต่ละคน ประเทศอเมริกานั้นสิทธิเสรีภาพอยู่เหนือสิ่งอื่นใดเลย ใครได้เท่าไร ใครไม่ได้เท่าไร คุณไม่ต้องถามคนอื่น คุณเอา Paycheck มาเปิดไม่ได้เลยว่าใครเขาได้เท่าไร ใครมาอ้างเท่าไร เราจะมีธรรมเนียมนี้ไหม ว่าต่อไปนี้เงินเดือนนั้นเป็นความลับ ไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน การปรับปรุงเงินเดือนนั้นก็มีความเป็นธรรม ข่าวขึ้นเงินเดือน 3 หนไม่ออกข่าวเลย ทุกคนก็ยังอยู่ได้ แน่นอนทุกครอบครัวอยู่ได้เลย เพราะราคาสินค้าจะขึ้นไปตามสภาพของมันที่ต้องขึ้น และรายได้ก็จะปรับขึ้นมาตามสภาพที่ควรจะต้องปรับ เห็นไหมว่าถ้าเราเก็บเศษสตางค์ของเราไว้ แล้วถ้าเรามีความเป็นธรรม มรรค หนทางที่จะปรับปรุงคือที่รัฐมนตรีมิ่งขวัญฯ กำลังดำเนินการ 33 รายการ ผมจะตามดูอย่างใกล้ชิด นี่คือวิธีการแก้ปัญหา
อย่างเวลานี้เราอยากจะดูหมูขึ้นราคา จากกิโลกรัมละ 100 บาทเป็น 120 บาท หน้าฟาร์มถ้าหมูขึ้น 3 บาท แล้วทำไมถึงกลายเป็น 120 บาท ต้องดูเลย คนขายตั้ง 120 บาททุนคุณขึ้นมาเท่าไร คุณเอาเท่าไร อันนี้ที่จะตามไปดู ดูได้แน่นอน ผมจะเล่าให้ฟัง บางเรื่องบางอย่างเป็นสารคดีประกอบ อย่างหมู เมื่อก่อนนี้มีคนทะเลาะกัน เขาขายซากหมู คือหมูที่ทำมาแล้ว ผ่ามาเสร็จแล้ว กิโลกรัมละ 21.50 บาท รัฐบาลกำหนดต้องขาย 21.50 บาท ปรากฏว่าวิวัฒนาการของค่ารายการเลี้ยงหมูเจริญก้าวหน้า หมูหลังแอ่นมีมันเยอะ มีเนื้อแดงอยู่ 33 กิโลกรัม ต่อมาวิวัฒนาการหมูหลังตรงมันมีน้อย มันราคาถูก แต่เนื้อแดงแพง เนื้อแดง 43 กิโลกรัม เนื้อแดงเพิ่มขึ้น 10 กิโลกรัม บริษัทที่ผลิตชนิดนี้ขึ้นมาก็บอกจะขอขาย 23 บาท รัฐบาลบอกว่าไม่ได้ แล้วท่านผู้ฟังลองฟังดู ซื้อหมูกิโลกรัมละ 21.50 บาท เอา 1 ตัวไปขายได้กำไร 150 บาท แต่ว่าถ้าซื้อหมูกิโลกรัมละ 23 บาท เอาไปขายจะได้กำไร 450 บาท ได้กำไรมากกว่ากัน 3 เท่า อย่างนี้ถ้าสมมติว่าให้เขาขายซากหมู 21.50 บาทเป็น 23 บาท แล้วแทนที่เขาจะขายได้กำไร 450 บาท เขาได้กำไรประมาณสัก 300 บาท แต่ว่าผู้บริโภคจะได้ซื้อของแพงขึ้นนิดหนึ่ง แต่คนขายได้แพงขึ้นอีกนิดหน่อย ฟาร์มก็จะขายได้ แปลว่าคนเลี้ยงเขาก็เลี้ยงอยู่ได้ เพราะเขาขายได้ 23 บาท คนมาขายก็ได้กำไรมากขึ้น แต่ว่าแทนที่จะขายได้กำไรตั้ง 450 บาท ได้กำไรแค่ 300 บาท คนบริโภคแทนที่จะต้องจ่ายแพง เขาก็จ่ายน้อยลงไปหน่อย นี่คือความเป็นธรรมในสังคมที่จะต้องทำให้เกิดขึ้น เรื่องที่เล่าให้ฟังนี้ บริษัทขายหมูทั้งนั้น เลิกเลยครับ ไม่ให้ขาย ขายโดนจับ เลยเลิกเลี้ยงเลย ตั้งแต่บัดนั้นมาจะฆ่าหมูทำหมูตั้งแต่ต้นจนปลาย ไม่ทำ ทำแค่ลูกหมู ขายลูกหมูตัวละ 500 บาท เอาไปเลี้ยงต่อตามใจชอบ และซากไปค้าขายกัน แล้วต้องบังคับให้ 21.50 บาท เห็นไหมครับ 21.50 บาท บังคับให้เขาขายอย่างนั้น เลี้ยงมาเสร็จเรียบร้อยต้องขาดทุนอยู่ตรงนี้ เสร็จแล้วมาหากำไรตรงนี้ ไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ไม่ถูกต้อง ทำให้เข้าที่เข้าทางตามระบบ คำนวณให้ดูหมดเลย มีชาร์ตให้ดูเลยว่ามีทุนเท่าไร คุณขึ้นราคาเท่าไร ขึ้นราคาต้องขึ้นได้โดยมีเหตุผล
เมื่อสักครู่ทั้งหมดที่รับฟังมานี้ เรื่องไข่ไก่ แม่ค้าขายไข่ไก่ต่าง ๆ นี่ก็เกี่ยวกับเรื่องการอุปสงค์อุปทาน เรื่อง supply demand อะไรอย่างหนึ่ง เรื่องนี้ต้องพูดกันให้ชัดเจนเลย ตอนก่อนตอนเด็ก ๆ บอกกินไข่ทุกวัน ๆ ละฟองไม่ต้องไปหาหมอ เดี๋ยวนี้บอกกินไข่ คนโต ๆ แล้วให้กินอาทิตย์ละ 2 ฟอง บางคนกินไข่วันละ 6 ฟอง 6 x 7 = 42 กิน 42 ฟองตัวใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มยังไม่ตาย แต่ว่าหมอบอกว่าให้กินอาทิตย์ละ 2 ฟอง แต่ก่อนนี้บอกว่ากินไข่ทุกวัน ๆ ละฟองไม่ต้องไปหาหมอ นี่ต้องวัดให้แน่นอนราคาไข่จะได้คงที่ ผมเรียนแม่ค้าพ่อค้าทั้ง 4 คน ผมรับเรื่องราวร้องทุกข์ที่บอกไว้ รับว่าจะต้องมาดู เป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องดูแลเรื่องนี้ และจะต้องพยายามจัดการแก้ไขให้ได้ และขอให้เชื่อเถอะครับว่า แก้เรื่องเศรษฐกิจด้วยเศษสตางค์ มีโอกาสมากจริง ๆ เหรียญบาทขอให้เก็บไว้ เพราะถ้าหากว่าข้าวแกง 20 บาทเป็น 21 บาท ให้มา 30 บาทก็ทอน 9 บาท ให้มา 25 บาทก็ทอน 4 บาท ได้แน่นอน เรื่องอย่างนี้ให้ขึ้นได้แต่ค่อย ๆ ขยับขึ้น ขึ้นเป็นขั้น และรายได้นั้นควรจะดักหน้าอยู่กว่า และรายได้นั้นก็ควรจะเป็นความลับของแต่ละบุคคลที่ทำมาหาได้ แล้วแน่นอนครับ คนเป็นรัฐบาลก็ต้องมีใจเป็นธรรมที่จะต้องปรับปรุงรายได้ให้ใครเท่าไร อะไร อย่างไร เรื่องอย่างนี้ขอเรียนให้ทราบไว้ว่า งานในทางการเมืองต่างคนก็ต่างเข้ามา ยกคณะยกทีมเข้ามา บางคนก็มาทีมเดี่ยว ๆ รัฐบาลก่อนเขามาเดี่ยว ๆ รัฐบาลนี้มา 6 พรรคด้วยกัน นั่งกันเวลาปรึกษาหารือก็ต้อง 6 ความคิด เล็กบ้างใหญ่บ้างก็พยายามให้มีความคิดเท่าเทียมกัน ช่วยกันคิดช่วยกันอ่าน ช่วยกันทำ และในฝ่ายสื่อสารมวลชนทั้งหลาย ท่านก็คอยช่วยกันตรวจสอบ ไม่มีใครเก่งสุดยอดมาหรอก แต่ก็ไม่ได้โง่เง่าถึงขนาดจะต้องหัวเราะเยาะเย้ยถากถางกัน
ผมเรียนให้ทราบว่าเมื่อเวลามาคุยอธิบายความ เรื่องรถไฟจะทำอย่างนี้ เรื่องนี้จะทำด้วยอย่างนี้ ๆ มีคนให้สัมภาษณ์เยาะเย้ยถากถางเลย โง่เง่ามาพูดเป็นไปไม่ได้ รถไฟราง 1 เมตร สัญญากันแล้ว 6 ประเทศแถวนี้เซ็นสัญญาแล้วจะไม่ขยาย ผมบอกนั่นคิดแบบรถไฟก็คิดไปสิ ผมไม่ว่า ผมยังไม่แตะต้องรางเก่า แต่ว่าผมมีสิทธิที่จะทำรางใหม่ให้ จะไม่เชื่อมกับประเทศไหนก็ตามแต่ ไม่เชื่อม เวลานี้รถไฟมาเลเซียวิ่งถึงกรุงเทพฯ ไหม ก็วิ่งมาแค่ปาดังเบซาร์มาจ่อที่นั่น สุไหงโก-ลก ก็มาจ่อกันตรงนั้น รางไม่เท่ากันก็เปลี่ยนผู้โดยสารมาขึ้นรถของเรา และถามว่าจากพนมเปญเข้ามาหรือยัง ยันอยู่ตรงนั้น สงครามยังไม่เลิกตรงชายแดน รถไฟไม่เชื่อมกัน แต่รถไฟบอกไปเซ็นสัญญาบอกว่าจะผูกพันกัน 6 ประเทศใช้ราง 1 เมตร ไปเซ็นไว้แล้วเราจะเจริญไม่ได้ ถ้าเราจะพัฒนาของเราให้วิ่งเร็วขึ้น รถไฟบอกทำไม่ได้เพราะเหตุไปเซ็นกับเขาไว้ว่าต่อไปนี้ต้อง 1 เมตร คุณก็เอา 1 เมตรผูกไว้ เดี๋ยวผมจะทำใหม่ขึ้นมา แล้วต่อไปถ้าหากว่าเราทำจริง เร็วจริง เป็นประโยชน์จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้เชื่อมกับใครเลย แต่บอกเซ็นสัญญากับเขาไว้ นี่คือเหตุ เหตุแห่งความไม่เจริญ แสดงความคิดเห็น หนังสือพิมพ์ลงข่าวเยาะเย้ยถากถาง นายกฯ สมัครฯ โง่ ใครเข้ามาจะต้องรถไฟ 1.435 ต้องคิดครับ ก็มันช้า จะทำให้เร็วก็ต้องรางกว้างขึ้น บอกไม่ได้เสียแล้ว ต้องได้ครับ ผมยืนยันอย่างไรก็ต้องได้
คุยเรื่องอุโมงค์ผันน้ำต่าง ๆ ผมบอกว่าผมรู้จักแม่โขง ให้แม่โขงอธิบายความได้ชัดเจน ผมไปกระทรวงการต่างประเทศผมจะคุยเรื่องนี้แถมให้ฟัง ผมไปคุยกับต่างประเทศเขา ฟังความแล้ว เหตุผลต้องจำนนด้วยเหตุผล ยังจะมาอ้างอิงอะไรต่าง ๆ คือฟังความข้างเดียวแล้วก็พูด ผมไม่มีวันยอมอย่างนั้นหรอก ผมต้องทำ แต่ที่น่าเสียดายตรงไหน น่าเสียดายตรงที่เข้ามายังนับวันถ้วน เป็นรัฐบาลยังไม่ถึงเดือนเลย ประชุมคณะรัฐมนตรีเพิ่งประชุมได้ 2 หนเท่านั้นเอง งานก็กำลังทำ กำลังจะบอกว่าจะทำอะไรอย่างไรบ้าง สื่อสารมวลชนประเภทหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ชื่อครึ่งไทยครึ่งฝรั่ง เขียนบทความด่าผมหยาบคาย ต่ำช้า พูดจาน่าเกลียดน่าชัง ผมเสนอโครงการพูดไป 3 โครงการเท่านั้น ใช้ชื่อบทความ 99,999 โครงการของนายสมัคร ทำไมเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร คิดให้ฟัง 3 โครงการต้องใช้ 99,999 โครงการ พูดจาบอกเหมือนกับผมพูดจาเหมือนกับออกมาจากก้นพูด อย่างนี้อะไรกันครับ นี่หรือครับสื่อสารมวลชน พอเริ่มคิดให้ฟังเท่านั้น บอกกำหนดเลยว่าวันนี้เสร็จ ๆ มีรัฐบาลไหนทำล่ะครับ แสดงความคิดปั๊บให้ประกาศเลยวันนี้เสร็จ วันนี้เสร็จถึงจะเก่งจริง ผมไม่เก่งละครับ แต่ด่าผมหยาบคายเสียหาย ที่ด่ามานั้นน่าอายสำหรับวงการสื่อสารมวลชนทั้งหมด ว่านี่หรือสื่อสารมวลชน สติปัญญาเพียงเท่านี้หรือ ด่าเขาโดยยังไม่มีเหตุผล ด่าตั้งแต่ยังไม่ทำงาน พูดจาว่ากล่าวแบบชนิด มีหลายฉบับยังไม่อยากออกชื่อ ไม่อยากประกาศศัตรูกับใคร ผมต้องการจะทำดีให้บ้านเมืองนี้ ผมต้องการจะคิดดีให้บ้านเมืองนี้ แต่ไม่บ่นไม่ได้หรอกครับ ผมต้องขอใช้สิทธิผม ผมไม่ออกชื่อใครทั้งนั้น แต่มี ผมอ่านทุกวัน เขียนบทความว่ากล่าวกันแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ ตั้งใจจะด่าก็ด่าตั้งใจจะว่าก็ว่า ตั้งใจจะเขียนต่าง ๆ แต่สมัยนี้ต้องมีอย่างที่ว่านี้ รายการอย่างวันนี้
ที่มา / ขอบคุณ
จินตนา/วิมลมาส ถอดเทป เรียบเรียง
จาก hi-thaksin