ค่ำวานนี้ นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงถึงเหตุผลที่ต้องจัดระบบสื่อของรัฐ ว่า เพื่อป้องกันมิให้เกิดกรณีดังเช่นที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ใช้สื่อในเครือข่ายผู้จัดการ ประกอบด้วย หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เอเอสทีวี วิทยุ 97.75 และ เวปไซต์ Manager สร้างความแตกแยกขึ้นในชาติอีก ด้วยการให้สื่อของรัฐเป็นผู้นำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นความจริง เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ และสร้างดุลความจริง สร้างสมดุลของข้อมูลข่าวสารในสังคม ไม่ให้ประชาชนต้องตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาชวนเชื่อ และการใช้สื่อเพื่อตอบสนองเป้าหมายทางการเมือง แย่งชิงอำนาจปกครองแผ่นดิน โดยไม่คำนึงถึงวิธีการว่าถูกต้องชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตยหรือไม่
ต้องยอมรับว่า สิ่งที่ จักรภพ เพ็ญแข พูดไปในสภาฯ เมื่อวานนี้ ทำให้เห็นภาพชัดมากว่า สื่อมีบทบาทสำคัญอย่างไรในการก่อวิกฤตขึ้นในชาติ และนำประชาชนไปสู่ห้วงเหวแห่งหาย นะ ได้อย่างไร
สื่อไม่ได้ทำหน้าที่นำเสนอความจริง และ แสดงความคิดเห็นที่เพียบพร้อมด้วยเหตุและผล หากแต่ชี้นำประชาชนให้หลงเชื่อ โดยมี “เป้าหมาย” อยู่ในใจ ว่าจะนำประชาชนไปในทิศทางใด และ นำเสนอความคิดเห็นที่มากด้วยอคติ จนเรียกได้ว่ามีเจตนาร้ายอย่างเปิดเผย
ในห้วงเวลาที่ผ่านมา นับแต่ สนธิ ลิ้มทองกุล ชี้นำสังคมให้หลงผิด หลงเชื่อ เห็นกงจักร เป็นดอกบัว กลัวที่จะเดินในแนวทางที่ถูกต้องชอบธรรม แต่กล้าที่จะกระทำผิดกฎหมาย และท้าทายรัฐธรรมนูญ
สื่อของรัฐ จำนวนมาก ทั้งในสังกัด กรมประชาสัมพันธ์ และ อ.ส.ม.ท. ตลอดจน วิทยุทหาร และตำรวจ ในเครือข่ายของสี่เหล่าทัพ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจ ก็ช่วยกันโฆษณาเผยแพร่ความเท็จ และถ้อยคำปลุกระดม ที่พรั่งพรูออกมาจากปากของสนธิ ลิ้มทองกุล โดยไม่กลั่นกรอง อีกทั้งยังช่วยสนับสนุน ส่งเสริม และโหมกระพือให้ความเท็จแพร่กระจายครอบงำไปทั่วทั้งสังคมไทย และกลายเป็นชนวนเหตุที่ทำให้สังคม ไทยกลายเป็นสังคมอกแตก ขัดแย้งกันในทุกชุมชนและทุกชนชั้น ดังเช่นที่ปรากฎอยู่ในปัจจุบันนี้
คำพิพากษาของศาล เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2550 ที่ตัดสินลงโทษจำคุก สนธิ ลิ้มทองกุล 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา และลงโทษจำคุก ขุนทอง ลอเสรีวานิช บรรณาธิกาหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน 1 ปี ได้ชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของสนธิ ลิ้มทองกุล ว่าเป็นพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ความมั่นคงของชาติ และความสามัคคีของคนในชาติ ไว้ดังนี้
“..พฤติการณ์แห่งคดีเห็นว่าจำเลยที่ 1 (สนธิ ลิ้มทองกุล) กล่าวหมิ่นประมาทโจทก์ (ทักษิณ ชินวัตร) เป็นลำดับ มีการเปิดประเด็นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ได้มุ่งพิสูจน์ความจริงตามหลักนิติธรรม บางครั้งปล่อยให้เป็นที่สงสัยกำกวม เร่งเร้าให้เกิดความสับสนวุ่นวายในสังคม ก่อให้เกิดความครอบงำบิดเบือนเนื้อหาข้อมูล ทำให้ขาดดุลความจริง หวังมุ่งสร้างกระแสเพื่อโค่นล้มโจทก์ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยไม่ใช้วิธีการที่รัฐธรรมนูญขณะนั้นกำหนด การกระทำดังกล่าวกระทบโครงสร้างทางสังคมครั้งใหญ่ เกิดความขัดแย้งอย่างมาก ระหว่างผู้ที่สนับสนุนโจทก์กับฝ่ายตรงข้ามโจทก์ ต่างมุ่งห้ำหั่นล้างผลาญกันทุกวิถีทางสถานภาพของสังคมไทยเกิดความสูญเสีย ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง
ทางนำสืบจำเลยที่ 1 และพฤติการณ์การกล่าวปราศรัยของจำเลยที่ 1 ตามวัตถุพยานของจำเลยที่ 1 ก็ดี การแต่งการของจำเลยที่ 1 ไม่ว่าสีของเสื้อที่ใช้สีเหลือง อันเป็นสีประจำพระองค์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และตัวอักษรที่หน้าอกเสื้อคำว่า“เราจะสู้เพื่อในหลวง” ก็ดี ล้วนพยายามสร้างภาพของโจทก์ และผู้สนับสนุนโจทก์ ให้มีภาพยืนอยู่ตรงข้ามกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และพยายามสร้างภาพของจำเลยกับพวกให้อิงแอบแนบชิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันสูงสุดที่ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าต้องเทิดทูล เพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์กับพวก ไม่จงรักภักดี ทำตัวเสมอพระมหากษัตริย์ หรือไม่ถวายพระเกียรติพระมหากษัตริย์ เป็นการแยกประชาชนคนไทยที่จงรักภักดีบางส่วน ให้เป็นฝ่ายตรงข้ามสถาบันพระมหากษัตริย์ นับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ
การที่จำเลยที่ 1 พยายามดึงสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพ เทิดทูนสูงสุดของประชาชนทุกหมู่เหล่า มาเป็นเครื่องมือในการกำจัดโจทก์กับพวก ในทางการเมือง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พฤติการณ์แห่งคดีมีลักษณะร้ายแรง และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคล หรือคณะบุคคลอื่นๆ อีกต่อไป จึงไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 1..”
การที่ศาลชี้ให้เห็นว่า สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นบุคคลอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ พฤติ การณ์แห่งคดีมีลักษณะร้ายแรง จึงต้องลงโทษจำคุกโดยไม่รอลงอาญา เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคล และคณะบุคคลอื่นๆ อีกต่อไป ย่อมจะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นบุคคลที่พึงปรารถนาของสังคมไทยหรือไม่ และ สื่อในเครือผู้จัดการ ทั้ง 4 ชนิดดังที่ จักรภพ เพ็ญแข นำมากล่าวอ้าง ว่าเป็นสื่อที่ทำให้สังคมขาดดุลความจริง เป็นสื่อที่ประชาชนควรจะนับเป็นสื่อที่ทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอีกหรือไม่
ความเที่ยงตรง ความเป็นกลาง ความเป็นธรรม ของสนธิ ลิ้มทองกุล และสื่อเครือผู้จัดการ มีหรือไม่ ย่อมจะพิสูจน์ได้จากคำพิพากษาของศาล อยู่แล้ว
แน่นอนว่า การอภิปรายของจักรภพ เพ็ญแข ย่อมจะสร้างความไม่พอใจให้แก่สนธิ ลิ้มทองกุล และลิ่วล้อบริวาร ที่ยังคงทำหน้าที่ผลิตข้อมูลข่าวเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อกันอย่างขันแข็ง และเผยแพร่ผ่านสื่อ 4 ชนิดที่มีอยู่ในมืออย่างเอาเป็นเอาตาย จึงทำให้รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ที่ออกอากาศทางเอเอาทีวี เมื่อคืนวานนี้ ต้องเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาอย่างฉับพลันทันด่วน เพื่อตอบโต้การอภิปรายของจักรภพ เพ็ญแข แบบลุกลี้ลุกลน และประกาศขึ้นบัญชีดำ จักรภพ เพ็ญแข เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของ สื่อเครือผู้จัดการ ผ่านปากของปานเทพ พัวพงศ์พันธ์ และ สโรชา พรอุดมศักดิ์ สองศิษย์เอกของสนธิ ลิ้มทองกุล
ไม่น่าแปลกใจที่ ลิ่วล้อบริวารของ สนธิ ลิ้มทองกุล จะต้องออกมาโต้แทน เถียงแทน ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างยิ่งที่ถูกกรีดซ้ำย้ำลงบนแผลเดิม ที่ประมุขแห่งเครือผู้จัดการ เพิ่งถูกศาลพิพากษาจำคุกมาหมาดๆ แถมยังถูกตอกย้ำว่าเป็นบุคคลที่มีพฤติกรรมเป็นอัน ตรายร้ายแรงแก่ประเทศชาติ และไม่ควรเอามาเป็นเยี่ยงอย่าง
แต่บรรดาส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ลุกขึ้นประท้วงการอภิปรายของจักรภพ เพ็ญแข หวังจะปิดปากเพื่อปกป้องสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ให้ถูกแฉประจานพฤติการณ์ชั่วร้ายที่ศาลพิพาก ษาแล้ว ให้ประชาชนที่เฝ้าชมการประชุมรัฐสภา ได้ยินได้ฟัง นี่สิ น่าประหลาดใจว่า ส.ส.เหล่านั้นกระทำไปในฐานะใด ระหว่างส.ส. ซึ่งเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทย หรือ องครักษิพิทักษ์สนธิ ลิ้มทองกุล หรือว่าระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับ สนธิ ลิ้มทองกุล มีความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกันลึกซึ้งเป็นพิเศษ จึงต้องปกป้องกันออกนอกหน้า และแตะต้องไม่ได้เช่นนี้
อาการของส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ลนลานขานชื่อบอกสังกัด เพื่อประท้วงตัดการอภิปรายของจักรภพ เพ็ญแข ทำให้อดนึกถึงภาพ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นำกระเช้าดอกไม้ไปให้กำลังใจ สนธิ ลิ้มทองกุล ทั้งก่อนเคลื่อนพลนำม็อบขับไล่นายกฯทักษิณ ชินวัตร และหลังการรัฐประหาร ด้วยความนอบน้อมพินอบพิเทาอย่างยิ่ง ไม่ได้
มิพักต้องแปลกใจ หากผมจะนึกถึง อลงกรณ์ พลบุตร เกียรติ สิทธิอมร กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ บุญยอด สุขถิ่นไทย ประพันธุ์ คูณมี สำราญ รอดเพชร ที่ขึ้นลงเวทีพันธมิตร เป็นตลกหน้าม่านบนเวทีพันธมิตรประชาชนปล้นประชาธิปไตย ก่อนที่สนธิ ลิ้มทองกุล จะขึ้นปลุกระดมมวลชน เป็นประจำทุกค่ำคืน โดยมี คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ยืนคุมเบี้ยเลี้ยงและเสบียงกรัง อยู่หลังเวทีพันธมิตร ตั้งแต่ลานพระบรมรูปทรงม้า เรื่อยมาจนถึงท้องสนามหลวง และมี อภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม. จัดหาเจ้าหน้าที่เทศกิจ และพนักงานรักษาความสะอาด กทม. มาเป็นหน้าม้าหน้าเวที และรถสุขามาให้บริการทุกวันตั้งแต่เช้ายันดึก ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเวลาต่อเนื่องกันเกือบ 2 ปี ตั้งแต่สวนลุมพินี มาถึง ราชดำเนิน และท้องสนามหลวง
ชื่อเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้ที่เดินเข้าออกสำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี บ่อยและถี่เท่ากับที่เข้าออกที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา
แม้จะไม่ยอมรับกันตรงๆ แต่ก็ไม่มีอะไรน่างุนงง หากจะตอบกันแบบฟันธงว่า พรรคประชาธิปัตย์ ยุคอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค ยินดีพลีกายเป็นเครื่องไม้เครื่องมือ และเป็นส่วนหนึ่งของการปลุกระดมมวลชน ให้แก่สนธิ ลิ้มทองกุล ไปเสียแล้ว และนานแล้วด้วย กระทั่งวันนี้ก็ยังหลงเชื่อสนธิ ลิ้มทองกุล หัวปักหัวปำ ถอนตัวไม่ขึ้น เราจึงได้เห็นส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นประท้วง เพื่อปกป้องสนธิ ลิ้มทองกุล ยิ่งกว่าปกป้อง ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกพาดพิง ในการปะทะคารมเรื่อง 6 ตุลาคม 2519 เสียอีก
ย้อนกลับมาที่อาการลุกลี้ลุกลนของลิ่วล้อมบริวาร หนึ่งหนุ่มหนึ่งสาว ที่ออกมาตอบโต้จักรภพ เพ็ญแข ผ่านรายการยามเผาแผ่นดิน ทางเอเอสทีวี เมื่อวานนี้ นับได้ว่าเป็นการลงทุนเสี่ยงชีวิตเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางเข้าปกป้องประมุขสนธิ ลิ้มทองกุล อย่างถวายหัวจริงๆ
“คุณจักรภพ ตัดสินใจหยิบยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ซึ่งคุณสนธิไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษานั้น และทำการอุทธรณ์ต่อในชั้นกระบวนการยุติธรรม และก็หยิบเหตุนั้นซึ่งในคดีความยังไม่สิ้นสุดมาพูด และมาอ่านให้ฟัง”
เป็นถ้อยคำของปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โดยมี สโรชา พรอุดมศักดิ์ นั่งพยักหน้าหงึกๆ เป็นขุนพลอยพยักรับลูก พร้อมกับเบิ่งตาโตให้ดูน่าตื่นเต้น
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ พยายามจะอธิบายให้เข้าใจว่า จักรภพ เพ็ญแข เล่นไม่แฟร์ ที่นำคำพิพากษาของศาลชั้นต้น มาอ่านในที่ประชุมรัฐสภา ทำให้สนธิ ลิ้มทองกุล ทั้งๆ ที่คำพิพากษานั้นยังไม่ถึงที่สุด ไม่ใช่คำพิพากษาของศาลฎีกา และ สนธิ ลิ้มทองกุล ก็ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษานั้น เหมือนกับจะบอกว่าศาลพิพากษาไม่เป็นธรรม ยังมีโอกาสที่คดีนี้อาจจะพลิกก็ได้
“นายแน่มาก”
เพื่อจะปกป้องสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ต้องคำพิพากษาของศาล ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา ด้วยความผิดมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ถึงกับใช้ถ้อยคำวาทกรรมที่เป็นด้อยค่าคำพิพากษาของศาล ให้ประชาชนรู้สึกคล้อยตามว่า อาจจะเป็นคำพิพากษาที่ยังไม่น่าเชื่อถือ ไม่ควรนำมากล่าวอ้างได้
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คงกระสันจะไปใช้ชีวิตในคุกเสียเต็มประดา
ต้องไม่ลืมว่า คำพิพากษาจำคุกสนธิ ลิ้มทองกุล 3ปี โดยไม่รอลงอาญา ด้วยเหตุว่าเป็นบุคคลที่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรงนั้น เป็นคำพิพากษาของศาลภายใต้พระปร มาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
แม้จะเป็นศาลชั้นต้น แต่ก็เป็นศาลสถิตยุติธรรมที่พิจารณาอรรถคดีด้วยความเที่ยงธรรมภายใต้พระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เช่นเดียวกับศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา
ศาลสถิตยุติธรรม ที่พิพากษาจำคุกนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นศาลจริง ไม่ใช่ศาลปลอม หรือ ศาลลวงโลก ที่เป็นเพียงแค่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ แต่แอบอ้างว่าเป็นศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ตามแผนการของคณะรัฐประหาร
เจตนาของปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ฟังก็รู้ ดูก็เห็น ว่าต้องการทำให้ประชาชนไม่เชื่อถือคำพิพากษาของศาล จึงบอกว่าเป็นเพียงคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเท่านั้น และยังบอกด้วยว่า สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่เห็นด้วย ซึ่งก็แปลว่าไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาล
เจตนาของปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เป็นเจตนาหมิ่นศาลอย่างชัดเจน เป็นการด้อยค่า ดูถูกดูแคลนคำพิพากษาของศาล ด้วยเหตุที่ว่าเป็นเพียงศาลชั้นต้น เท่านั้น
เมื่อเทียบกับกรณี ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และ ธนา เบญจาธิกุล ที่ศาลลงโทษในฐานความผิดดูหมิ่นศาลไปแล้วนั้น พฤติกรรมของปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ดูจะหนักหนากว่าหลาย เท่าตัว
หากศาลมัวแต่นั่งดูนั่งฟัง แล้วไม่แสดงอาการรู้ร้อนรู้หนาวต่อคำพูดที่ด้อยค่าดูแคลนคำพิพากษาของศาลเช่นนี้ ต่อไปคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จะมีความศักดิ์สิทธิและได้รับความเคารพจากประชาชน ได้อย่างไร
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ พูดราวกับว่าศาลชั้นต้น พิพากษาตัดสินคดีแบบง่ายๆ จึงควรจะรอให้ศาลอุทธรณ์ตัดสินก่อน หรือรอให้คดีถึงที่สุดในศาลฎีกา ก่อน แล้วจึงค่อยมาชี้ว่าสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นคนผิด
เพียงแค่ศาลชั้นต้นตัดสิน จักรภพ เพ็ญแข จึงไม่อาจนำคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ไปกล่าวอ้างได้ว่าสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นคนผิด อย่างนั้นหรือ ?
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ควรจะต้องไปศึกษาหาความรู้จากผู้พิพากษาทั้งหลาย จะดีไหม ก่อนจะพูดจาแสดงอาการหมิ่นหยามคำพิพากษาของศาลภายใต้พระปรมาภิไธย เช่นนี้
อาการของปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าผู้คนในป้อมค่ายผู้จัดการ มิได้เกรงกลัวต่ออำนาจศาล มิได้ยอมรับต่อกระบวนการยุติธรรม และยังเชื่อมั่นในการกระทำของตนเอง พวกพ้อง และ สนธิ ลิ้มทองกุล ว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง มิได้ทำให้ประเทศชาติเสียหาย มิได้แอบอ้างพระมหากษัตริย์เพื่อประโยชน์ทางการเมืองแห่งตนเอง มิได้กล่าวความเท็จ มิได้เป็นอันตรายต่อประเทศชาติ ดังที่ศาลพิพากษา
ทั้งยังเห็นตรงกันข้ามกับศาล โดยเห็นว่าตนและพวกพ้อง เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้กระทำการต่างๆ ด้วยความสุจริต มุ่งหมายประโยชน์แก่ประเทศชาติ และประชาชน เป็นผู้จรรโลงสังคม ให้เป็นสังคมคุณธรรม เป็นสังคมสมานฉันท์ มิได้ทำให้สังคมแตกแยก และเป็นภัยต่อสังคมดังที่ศาลพิพากษา แม้แต่น้อย
ตรวจสอบจากอาการที่พบเห็นได้ด้วยตาเปล่า ดังนี้แล้ว ก็ต้องบอกว่า จักรภพ เพ็ญแข จะช้าไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว กับการจัดระบบสื่อของรัฐ ไม่ให้ตกเป็นทาสความคิด ผูกติดปัญญาไว้กับปลายลิ้นของสนธิ ลิ้มทองกุล อีกต่อไป
นอกจากจัดระบบสื่อของรัฐ ให้ตัดขาดจากการเป็นสื่อเครือข่าย ขยายความคิดแก่สนธิ ลิ้มทองกุล แล้ว ยังต้องใช้สื่อของรัฐ เป็นเครื่องมือฉีดวัคซีนให้มีภูมิต้านทานข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จเข้าครอบงำสมองและจิตใจ ให้แก่ประชาชน ด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ จะต้องกล้าดำเนินการสื่อเอกชน ที่ละเมิดกฎหมาย อย่างจริงจังและเด็ดขาด แม้ว่าสื่อเอกชน จะไม่อยู่ในกำกับดูแลของรัฐบาล แต่ก็ไม่มีสิทธิพิเศษใดๆ ที่จะมีอำนาจเหนือกฎหมาย และทำร้ายประชาชนผู้สุจริต เช่นในอดีตที่ผ่านมา
หากไม่สามารถตัดตอนการเผยแพร่ความเท็จ และข้อความปลุกระดมมวลชน ของสื่อเครือผู้จัดการ ดังเช่นเมื่อวิกฤติครั้งที่แล้ว คราวนี้ก็เห็นทีจะต้องตัดลิ้น สนธิ ลิ้มทองกุล และบริวาร เพื่อเป็นการรักษาประชาธิปไตยของประเทศไทย ก่อนที่จะเกิดวิกฤตใหญ่ครั้งที่สองขึ้น มา ในเวลาไม่ช้านานจากนี้ไป
คลิกอ่านบทความ สนธิ ลิ้มทองกุล ลั่น ศาลสั่งจำคุก3ปี คือ 'มารผจญ'
ประดาบ
จาก hi-thaksin