WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, February 19, 2008

มิติใหม่ [19 ก.พ. 51 - 19:23]

การเมืองกำลังอยู่ในห้วงการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อสภาซึ่งเป็น องค์ประกอบหนึ่งที่จะทำให้การบริหาร ประเทศของรัฐบาล แต่เนื่องจากวุฒิสภาชุดใหม่กำลัง อยู่ในขั้นตอนการสรรหาและเลือกตั้งจึงต้องใช้สนช.ทำหน้าที่แทน

เรียกว่าเป็นงาน “สั่งลา” ของ สนช.ชุดที่ คมช.แต่งตั้ง

ดังนั้นการทำหน้าที่ของสนช.ในฐานะวุฒิสมาชิกจึงคงไม่ สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่เพราะถือว่าเป็นผลผลิตของเผด็จการ ที่เข้ามาสู่ระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นคงไม่มีใครกล้าไปตอแยมากนักเพราะไปวิจารณ์อะไรมากๆอาจจะถูกแขวะได้

แต่เหนืออื่นใดน่าจะมี สนช.บางคนที่ยังเป็นไม้เบื่อไม้เมากับระบอบ “ทักษิณ” ก็คงจะเปิดฉากเล่นงานรัฐบาลนอมินีได้

“ประชานิยม” เต็มรูปแบบ

อย่างไรก็ดีฝ่ายค้านที่จะทำหน้าที่ได้อย่างเต็มรูปแบบก็คงจะ เป็นประชาธิปัตย์นี่แหละในฐานะฝ่ายค้าน “มืออาชีพ” ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะได้เป็นรัฐบาลอีกเมื่อใด

แม้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะเป็นรัฐบาลผสมแต่เอาเข้าจริงแล้วพรรคเล็กอีก 5 พรรคที่มาร่วมนั้น แทบจะไม่มีความหมายในเชิงนโยบาย มีความหมายก็แค่ยกมือสนับสนุนเท่านั้น

เพราะโดยรูปแบบการเมืองในขณะนี้น่าจะเป็นว่าระบบการเมือง 2 พรรคคือพัฒนาการที่เป็นจริง

ดังนั้น แม้รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะมีความพยายามสกัดกั้นการเมืองพัฒนาระบบ 2 พรรคด้วยการหาวิธีการทำให้พรรคการเมืองเกิดง่ายขึ้น แต่การเลือกตั้งครั้งนี้มันมีคำตอบของมันอยู่แล้วคือพรรคการเมือง 2 พรรคส่วนพรรคการเมืองเล็กๆที่ได้รับการเลือกตั้งนั้นก็ได้แค่นั้นจริงๆ

เพราะถึงที่สุดแล้วการที่พรรคเล็กได้รับการเลือกตั้งนั้นเพราะเป็น ฐานเสียงเก่าและความนิยมเฉพาะตัวเท่านั้น

แม้จะมีการทุ่มซื้อเสียงอย่างไรก็ยากแล้วครับ...

ดังนั้นนโยบายของรัฐบาลชุดนี้หลักและพื้นฐานก็คือไทยรักไทยที่เอามาต่อยอด “ประชานิยม” เท่านั้นหรือด้านอื่นๆก็เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้นพูดง่ายๆ คือนโยบายของพลังประชาชนเป็นหลัก ของพรรคร่วมเป็นเพียงเครื่องแนมเท่านั้น

จริงๆแล้วพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาลนั้นหากไม่เปิดนโยบายดูแต่ละพรรคไม่น่าจะเรียกว่า นโยบายแต่น่าจะเรียกว่าเป็นคาถาหาเสียงเท่านั้น เพราะไม่ได้เกิดมาจากข้อมูล ตัวเลขแนวคิด แนวทาง อย่างที่เป็นการวิเคราะห์เอาแก่นมาใช้

พูดง่ายๆพร้อมเป็นพรรคไม้ประดับ แต่ขอให้ได้ร่วมรัฐบาลเท่านั้นและนี่คือประเด็นหนึ่งที่ทำให้พรรคการเมืองไทยยัง ไม่สามารถแปรไปสู่ความเป็นสถาบันได้ ซึ่งต่างกับพลังประชาชนที่เน้นรูปแบบเชิงนโยบายจนทำให้พรรคการเมืองใหญ่ขึ้นมาได้

แม้การพัฒนาในความเป็นสถาบันการเมืองยังไม่เข้ารูปเข้ารอย เพราะยังพึ่งตัวบุคคลมากกว่าหลักการและนโยบาย

ประชาธิปัตย์ในฐานะฝ่ายค้าน “มืออาชีพ” แม้จะมีความพยายามในการทำหน้าที่ได้อย่างดีแต่ยังเป็นเรื่องของ สำนวนโวหารมากกว่าการเจาะเข้าถึง ข้อมูลและการนำแนวทางของพรรคมาเป็นทางเลือกใหม่

สุดท้ายกลายเป็นว่าการแถลงนโยบายได้ประโยชน์แค่เป็นขั้นตอนหนึ่งของการเข้าสู่ การบริหารประเทศไม่ได้ใช้ให้เป็นเวทีแข่งขันทางนโยบาย เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเลือกพรรครัฐบาลในโอกาสต่อไป

จริงๆแล้วในการพัฒนาทางการเมืองไทยน่าจะไปสู่ระบบ 2 พรรคแน่นอนหาก 2 พรรคใหญ่สามารถสู้กันในเชิงนโยบายได้ก็ช่วยในการตัดสินใจของ ประชาชนยิ่งพรรคที่ชอบประกาศจะทำอย่าง นั้นอย่างนี้แต่พอถึงเวลาแล้วไม่ทำหรือทำไม่ได้

ก็จะต้องถูกลงโทษจากประชาชนไปเลือกอีกพรรค การเมืองหนึ่ง.

"สายล่อฟ้า"

คอลัมน์ กล้าได้กล้าเสีย