คอลัมน์ : บทความพิเศษ
สถานการณ์การเมืองในขณะนี้เกิดขึ้นจากอะไร? มีสาเหตุมาจากไหน? และก็เชื่อว่าประชาชนคนไทยในหลากหลายสังคมต่างก็จับจ้องวิพากษ์วิจารณ์ตามภูมิ ตามความรู้ หรือแม้แต่บางคนที่มีอายุมากหน่อย ก็อาจนำสิ่งที่ได้พบเห็นมาค่อนชีวิต หรือแม้แต่ที่เพิ่งผ่านพ้นไป มาสรุปต่ออุบัติการณ์ที่ไม่น่าเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ก็บังเกิดขึ้น ได้อย่างน่ารับฟังยิ่ง
จากเว็บไซต์แห่งหนึ่ง คือ siamfreedom.blogspot.com/ มีบทความที่น่าสนใจอยู่หลายชิ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบทความที่เกี่ยวข้องต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นำมาบันทึกไว้ และชิ้นหนึ่งที่ “ประชาทรรศน์” ขอนำมาเสนอก็คือ “ศัตรูผู้อยู่เหนือสามัญสำนึก”
บางทีพวกเราฝ่ายประชาธิปไตยอาจจะได้รู้ว่า กำลังต่อสู้อยู่กับศัตรูที่มีความรู้สึกนึกคิดแบบใดกันแน่
หลายปีที่ผ่านมา...รัฐบาลของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร มิได้ต่อสู้กับคนธรรมดา
ในกรอบคิดของมนุษย์ปกติ เป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถปักใจเชื่อว่า ยังมีการรัฐประหารในศตวรรษที่ 21 ในประเทศที่กำลังโดดเด่นและก้าวกระโดดสู่ความเป็นผู้นำบนเวทีโลก ในยามที่เศรษฐกิจรุ่งเรือง แล้วถ่ายเทความมั่นคงมั่งคั่งไปสู่ประชาชนรากหญ้า อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นการยากที่ท่านนายกฯ ทักษิณ ในฐานะคนที่ยังมีสติสมประกอบ จะเชื่อได้ว่า คนที่น่าจะมีปัญญาความรู้ สามารถเป็นคนที่ทรยศหักหลังกลับกลอก ขี้อิจฉาริษยาอย่างไร้เหตุผล ไร้เกียรติยศ ไร้ศักดิ์ศรีโดยสิ้นเชิง และเป็นการยากที่จะเชื่อได้ว่า กลุ่มคนซึ่งมีส่วนได้เสียกับเศรษฐกิจมากที่สุด กลับเลือกที่จะฆ่าตัวตายด้วยการสนับสนุนการรัฐประหารบ้านเมืองตนเอง
แต่สิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นเมื่อ 19 กันยายน 2549 และแน่นอนว่า รัฐบาลของ ดร.ทักษิณ ไม่ได้สู้กับคนธรรมดา
แต่สู้กับคนบ้า...ทั้งบ้า ทั้งโง่ อย่างเหนือสามัญสำนึก
สงครามกับคนบ้าและโง่ ยากที่จะประมาณการณ์อะไรได้ เพราะคนบ้าไม่มีเหตุผล ยิ่งบ้าแล้วโง่ด้วยยิ่งไปกันใหญ่ การมองคนบ้าและโง่ให้ทะลุนั้นก็ยากพอกัน เพราะคนแบบนี้อาจเป็นคนเรียนเก่ง คิดเลขเก่ง อาจแสดงตนเป็นคนเคร่งศีลธรรม ซึ่งในระบบการศึกษาของไทยเน้นการท่องจำ
คนที่ได้ชื่อว่า "เรียนเก่ง" ในสังคมอำมาตยา จึงเป็นคนที่ “ท่องจำเก่ง” แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนมี "ความคิด"
ความโง่...ที่กล่าวถึงนี้ มิใช่อาการของสมองทึบ แต่เป็นความโง่ที่เกิดจากอคติ
ความอิจฉาริษยา ดื้อรั้นดันทุรัง หลงตัวเอง และขาดพัฒนาการทางปัญญา คือ ไม่สามารถรับรู้ความเป็นไปของโลกได้ แต่เมื่อเห็นคนอื่นสามารถก้าวไปข้างหน้า และดูว่ามีอนาคตที่ดีกว่า คนโง่ด้วยอคติเหล่านี้จะเกิดอาการทนไม่ได้ กลายเป็นความโกรธแค้นชิงชัง เพราะตัวเองก็ไม่รู้ว่าทำไมคนอื่นจึงมีความสุขและเจริญก้าวหน้าได้ อยากเป็นอย่างเขาบ้างก็ทำไม่ได้ เพราะเกินปัญญาตนแล้ว ที่น่าเวทนาก็คือ พวกขี้อิจฉาเหล่านี้มิใช่คนยากไร้ แต่เป็นคนมีฐานะ ทั้งฐานะทางสังคม ฐานะทางเศรษฐกิจ แต่กลับขาดธรรมะในจิตใจอย่างรุนแรง
ดังที่ท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช เคยกล่าวไว้บนเวทีปราศรัยพรรคพลังประชาชนว่า “ความอิจฉาทำให้เสื่อม” ซึ่งเป็นที่รู้กันดีในหมู่ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยว่า ปัญหาบ้านเมืองที่เรื้อรังบานปลายมาตั้งแต่ปี 2548254949 ...เรื่อยมามิรู้จบสิ้นถึงปัจจุบันนั้น เริ่มจาก...ความอิจฉาริษยาเป็นส่วนตัวของคนกลุ่มเล็กกลุ่มเดียว
ความอิจฉานำสู่ความโกรธ เมื่อโกรธแล้วก็พาลพาโลโทษคนอื่น เที่ยวให้ร้ายผู้อื่น...แต่การโกหกใส่ร้ายผู้อื่นนั้น จำต้องแต่งเรื่องจากจินตนาการ
แล้วจินตนาการของคนเรามาจากไหน จินตนาการก็มาจากประสบการณ์ของคนคนนั้น นี่เป็นหลักทั่วไปในงานศิลปะ ดังนั้นเรื่องโกหกที่อำมาตยาขี้อิจฉาเที่ยวป้ายสีผู้อื่นนั้นก็คือสิ่งที่พวกเขาคิด คือสิ่งที่พวกเขาทำอยู่นั่นเอง ดังนั้นจึงมิต้องแปลกใจเลยว่า ข้อกล่าวหาทุกอย่างที่ฝ่ายพันธมิตรฯ โยนให้ ดร.ทักษิณ นั้นก็คือสิ่งที่พวกพันธมิตรฯ ปฏิบัติอยู่เป็นเวลานาน เช่น ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันสูงสุด ซึ่งถ้าใครรู้จักนักเขียน ศิลปิน นักวิชาการในฟากพันธมิตรฯ ก็จะรู้ว่า โดยส่วนตัวแล้วคนเหล่านี้มีความคิดต่อสถาบันเบื้องสูงอย่างไร เมื่อครั้งฝ่ายอำมาตยาประณามสิ่งที่เรียกว่า "ทุนสามานย์" เราก็ยังงุนงงว่ามันคืออะไร แต่เมื่ออำมาตยาอธิบายถึงทุนสามานย์ พวกเราก็ยิ่งสงสัยว่า พวกเขาด่าตัวเองทำไม?? แต่เมื่อย้อนกลับมาคิดได้ว่า "จินตนาการก็มาจากประสบการณ์ของตัวเอง"
นี่สามารถอธิบายตัวตนพวกอำมาตยาได้ดี
ศักดินาแท้ๆ ในเมืองไทยนั้นเหลือน้อยคน และลูกหลานศักดินามากกว่าครึ่งก็ได้ยืนอยู่ข้างประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยมานานแล้ว...ตั้งแต่ต้น ที่เหลืออยู่ยิ่งไม่มาก และใกล้สูญพันธุ์ไปเอง
แต่ที่อันตรายทุกวันนี้คือ พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง
พวกนี้เป็นไพร่ ประเภทไพร่ตะกายฟ้า...และพวกนี้คือผู้สถาปนาระบอบอำมาตยาธิปไตยขึ้นมา จะเรียกว่าเป็น ระบอบอำมาตยาธิปไตยใหม่ ก็ได้ เหมือนเศรษฐีใหม่ ผู้ดีใหม่ (ไฮซ้อ) พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางที่สามารถตะกายขึ้นไปสู่ลำดับชั้นทางสังคม แล้วก็อุปโลกน์ตนเองเป็นชนชั้นสูง แบ่งปันผลประโยชน์กับกลุ่มข้าราชการ รวมกันเป็นอำมาตยาสามานย์ ดังที่พวกเรารู้จักกันดีในปัจจุบัน ส่วนพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางที่ยังแป้กอยู่ที่เดิม ในระหว่างความพยายามตะกายฟ้า ก็เป็นแนวร่วมอำมาตยาไปพลางๆ และคนพวกนี้เมื่อสมสู่กันเองในที่แคบๆ เป็นเวลานาน ก็จะมีสภาพจิตเหมือนๆ กัน
หลายครั้งที่แยกไม่ออก จนกว่าจะแสดงความโง่และความบ้าให้ประจักษ์
คนโง่แล้วบ้าไม่ได้มีแค่เมืองไทยวันนี้ แต่เป็นเชื้อโรคร้ายทางพันธุกรรมของมนุษยชาติ...และเคยสร้างความหายนะระดับโลกมาแล้ว
ในสงครามโลกครั้งที่สอง คนส่วนใหญ่คาดไม่ถึงว่าฮิตเลอร์จะเปิดสงครามกับรัสเซีย สตาลินก็คาดไม่ถึง แม้แต่คนในพรรคนาซีเอง...ส่วนใหญ่ก็คาดไม่ถึง เพราะมันไม่มีเหตุผลอันควร เป็นเรื่องสุ่มเสี่ยงและไร้ประโยชน์...ในเมื่อเยอรมนีกับรัสเซียก็มีสัญญาร่วมมือทางทหารกันอยู่ มีสันติภาพที่เขียนไว้บนแผ่นกระดาษ
รัสเซียไม่ใช่ที่รักของชาติตะวันตก ทั้งอังกฤษ-อเมริกา ก็มองรัสเซียเป็นศัตรูแล้วเยอรมนีจะทำสงครามกับรัสเซียเพื่ออะไร...แม้อ้างเหตุผลได้ยาวเป็นเล่มๆ แต่ก็ฟังไม่ขึ้นสักข้อเดียว...คือไม่คุ้มกับความเสียหายสักนิด เปรียบเทียบกับการที่ญี่ปุ่นต้องโดดเข้าสงครามกับสหรัฐอเมริกานั้น ก็ยังมีเหตุจำเป็นทางเศรษฐกิจเป็นแรงขับเคลื่อน
แต่ฮิตเลอร์ฟาดฟันกับสตาลิน…เป็นเรื่องส่วนตัวล้วนๆ
สำหรับในประเทศไทย คงไม่ต้องบรรยายซํ้าว่ารัฐประหารสร้างความหายนะกับบ้านเมือง หรือเศรษฐกิจอย่างไร และคนที่ต้องรับผลกระทบจากความเสียหายนี้โดยตรงก็คือ ชนชั้นกลางในเมือง
แต่แน่นอนอีกเช่นกัน คนพวกนี้เป็นคนประเภทไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว ขี้ขลาดตาขาว...และขี้โวยวาย เอาแต่ได้ฝ่ายเดียว สันดานก็ไม่ดี ชอบดูถูกคนอื่นที่ไม่เหมือนตนเอง ทั้งที่กำพืดมันก็ไม่ได้สูงส่งมาจากไหน หลายคนก็ยังมีพ่อแม่ที่พูดภาษาไทยไม่ชัด คนพวกนี้เป็นประเภทเดียวกับที่กองทัพพม่าจับมัดแล้วลากไปเป็นทาส ปัจจุบันในยามสงบ...ก็ขี้โม้ตามวงเหล้า พอทหารขับรถถังเข้าเมืองก็หดหัวหายไปเป็นปี บางคนยังเอาดอกไม้ไปให้เขาเสียอีก
แต่จะปล่อยให้บ้านเมืองล่มจมไปตามประสงค์คณะรัฐประหาร??
จะปล่อยให้กลุ่มคนบ้าคนโง่ยํ่ายีแผ่นดินเกิดของเรา...?? ก็ไม่ได้อีก
ในที่สุดภาระกอบกู้บ้านเมือง จึงต้องตกเป็นของประชาชนธรรมดา
ที่มา : เว็บไซต์ SIAM Freedom Fight