เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 14 กรกฎาคม นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกพรรคพลังประชาชน และทีมที่ปรึกษากฎหมายพรรคพลังประชาชน ได้เดินทางมาที่สำนักงาน กกต. เพื่อยื่นถอนถอน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ 28 คน และ ส.ว. 33 คน ในข้อหาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือโทรคมนาคม ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 48 บัญญัติห้ามไว้ และเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วน หรือ บริษัทที่เข้าคู่สัญญาในลักษณะผูกขาดตัดตอน หรือในบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 265 บัญญัติห้ามไว้ และต้องสิ้นสุดสมาชิกภาพตามรัฐธรรมนูญมาตรา 106
นายศุภชัย กล่าวอีกว่า กฎหมายทั้ง 2 มาตรา มีเจตนาที่จะให้ ส.ส. และ ส.ว. ไม่ไปถือหุ้น ในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทใดๆ ที่เป็นคู่สัญญากับรัฐแม้แต่หุ้นเดียว ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ ตนได้มาจากการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของบุคคลทั้งหมดเมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่ง
เมื่อถามว่า ที่มายื่นให้ตรวจสอบ เป็นการดิสเครดิตและโต้ตอบฝ่ายที่ทำการตรวจสอบแกนนำพรรคพลังประชาชนใช่หรือไม่ นายศุภชัย กล่าวว่า ไม่ใช่การดิสเครดิต เพราะคำนี้แปลว่าเรื่องนั้นต้องไม่จริง แต่เป็นความปรารถนา ที่อยากให้ทุกคนปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ในเมื่อทุกคนเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีงาม
ดังนั้นเมื่อรัฐธรรมนูญระบุว่าการถือหุ้นเป็นความผิดต้องพ้นสมาชิกภาพ เขาทำผิดก็ต้องพ้นไป ซึ่งกรณีนี้เป็นกรณีเดียวกับที่มีการกล่าวหา นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่าเป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐ ทั้งที่กรณีของนายชัย แตกต่างจากกรณีดังกล่าวมาก และนายชัยไม่มีความผิดด้วยซ้ำ
เมื่อถามต่อว่า ได้มีการตรวจสอบสมาชิกของพรรคพลังประชาชนหรือไม่ นายศุภชัย กล่าวว่า ของพรรคพลังประชาชน ผมยังไม่ตรวจสอบ ผมตรวจสอบแต่พรรคประชาธิปัตย์ ถ้าสื่ออยากจะไปตรวจสอบก็ให้ดำเนินการเอา ถ้าเห็นว่าผิด ก็ยื่นต่อ กกต.ได้
ด้าน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อ้างว่าที่ถือหุ้นในบริษัท ทรู จำกัด จำนวน 5,000 หุ้น มูลค่า 50,000 บาท ว่า “ก็ต้องไปตรวจสอบดู เพราะผมซื้อหุ้นมาจากตลาดหลักทรัพย์ ราคาแค่ 50,000 บาทเอง หุ้นของผมเล็กนิดเดียว ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
เพื่อไทย
Tuesday, July 15, 2008
ยื่นถอดถอน28ส.ส.ปชป.ถือหุ้นคู่สัญญารัฐขัดรธน.
รองโฆษกพรรคพลังประชาชน ยื่นถอดถอน 28 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และ 33 ส.ว.ต่อ กกต. ข้อหาถือหุ้นในบริษัทที่มีสัมปทานจากรัฐและบริษัทสื่อ ขัดต่อ รธน.50 อย่างชัดเจน ระบุมีเอกสารหลักฐานพร้อมอยู่ในการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.