คอลัมน์: คิดในมุมกลับ
ฟังดูเหมือนนิยาย กับข่าวโจรปฏิบัติการเดี่ยวจี้รถขนเงินธนาคาร คว้าไปได้ 12 ล้าน ก่อนขี่มอเตอร์ไซค์หนีหายไป
เก่งกล้าสามารถถึงขนาดที่ตอนนี้ธนาคารตั้งค่าหัว 1 ล้านบาท ให้สำหรับผู้แจ้งเบาะแส โจรมันคงนึกภูมิใจ แต่ที่น่าสงสัยคือ ป่านนี้ 12 ล้าน ได้ควักมาใช้ให้สบายใจได้สักกี่ร้อยแล้ว เพราะเงินพวกนี้เขามีหมายเลข เอาไปหยิบสอยใช้จ่ายที่ไหนก้อนโตๆ ตำรวจก็สามารถตามหาเบาะแสได้หมด เว้นแต่จะใช้ซื้อสบู่ ยาสีฟัน ตามร้านแปะสักสี่-ห้าสิบ แต่ก็นั่นแหละ เช่นนั้นแล้วมีเงินเป็น 10 ล้าน จะมีประโยชน์อะไร
คนบางคนยอมทุกข์ยาก ต้องหนีกฎหมายหัวซุกหัวซุน เพียงเพราะหวังรวยทางลัด เห็นจำนวนเงินสำคัญกว่าชีวิตเช่นคนธรรมดาที่เดินถนนได้อย่างเปิดเผย
มีเงินมากขนาดไหน แต่ถ้าชีวิตนี้ได้ชื่อว่าเป็นคนที่กำลังหลบหนีกฎหมาย ก็คงหาความสุขสงบไม่ได้ หาความภูมิใจไม่มีนักหรอก หรือต่อให้เจ้าตัวไม่รู้สึกรู้สม ลูกหลานเครือญาติก็อาจต้องเดือดร้อนเอาปี๊บคลุมหัวแทน
แต่ก็นั่นแหละ...กับหลายคนที่ยึดถือ เห็นเงินเป็นพระเจ้า แม้ต้องสูญเสียสิ่งดีงามอะไรเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทอง...ก็จะทำ
เพราะสังคมส่วนใหญ่ยัง “บูชา” คนที่เงิน ที่ฐานะ ที่หน้าตาทางสังคม ไปจนถึงทองหย็อง...
ขอแค่รวยเอาไว้ก่อน เราก็พร้อมยกมือไหว้ แม้ที่มาที่ไปของเงินจะส่งกลิ่นตุๆ ก็ตามที
และเพราะไหว้คนที่เงิน เหยียบย่ำคนก็ที่เงิน จึงไม่แปลกที่คนซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกเหยียบย่ำ จะสาบานกับตัวเองว่า จะต้อง “รวย” ให้ได้ในชีวิตนี้
เศรษฐีมากมายที่สร้างเนื้อสร้างตัวมาได้ เกินครึ่งจึงมักมีชีวิตวัยเด็กที่ขมขื่น แร้นแค้น ครอบครัวถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนรอบข้าง และจากสังคมที่เหลื่อมล้ำอยู่เสมอ
ทางเดียวที่จะพ้นจากการถูกกระทำ ก็คือ ต้องสร้างฐานะขึ้นมาให้ได้
นี่คือส่วนดีของการเปลี่ยนความทุกข์เป็นพลังของชีวิต
แต่เมื่อหลุดพ้นจากความยากจนแล้ว จะยังสั่งสมความทุกข์ ด้วยการแปรเปลี่ยนพลังเป็นความโลภอีกหรือเปล่า...ก็ไม่มีใครรู้
เศรษฐีมากมายจึงอาจมีความสุขกับการทำการกุศล เพื่อช่วยเหลือคนผู้ถูกเอาเปรียบเหมือนที่ตัวเองเคยโดนมาก่อน
แต่ก็คงอีกไม่น้อยที่หลงเงินจนหน้ามืด ถูกความโลภครอบงำ จนตั้งหน้ากอบโกยไม่มีที่สิ้นสุด
คนพวกนี้ แม้มีเงินที่ใช้ไม่หมดทั้งชีวิต แต่ก็ไม่มีความสุข
เพราะเงินซื้อความสุข และสติปัญญาที่จะเห็นทางสว่างไม่ได้จริงๆ