* ชี้ กกต.ไม่เป็นกลางมีสิทธิ์ติดคุก-ถูกถอดถอน
ในขณะที่หลายพรรคการเมืองต่างก็โดนแจกใบแดงและทำท่าว่าจะดำเนินต่อไปจนถึงขั้นยุบพรรคกันเป็นแถว ไม่ว่าจะเป็นพรรคชาติไทย มัชฌิมาธิปไตย เพื่อแผ่นดิน รวมถึงเป้าหมายสำคัญอย่างพรรคพลังประชาชน แต่ก็กลับปรากฏว่าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเรื่องร้องเรียนรองหัวหน้าพรรค นายวิฑูรย์ นามบุตร พร้อมด้วยผู้สมัคร ที่ จ.อุบลราชธานี มีการจัดมหรสพ แจกตั๋วหนังและใช้เป็นเวทีปราศรัยหาเสียง ปรากฏเป็นหลักฐานวีซีดี มีเอกสารและพยานชัดแจ้ง เรื่องราวกลับเงียบหาย ส่อให้เห็นถึงการทำงานที่เลือกปฏิบัติ จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จงใจให้ความช่วยเหลือพรรคพวกหรือไม่ รวมไปถึงข้อกังวลสงสัยที่เชื่อมโยงไปถึงกลุ่มคน องค์กร และพรรคการเมืองบางพรรค ที่มีแนวทางร่วมกันในการจ้องล้มล้างรัฐบาลนั้น
“สดศรี”แฉมีมติแจกใบแดงไปแล้ว
กรณีดังกล่าว นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง ด้านกิจการพรรคการเมือง เปิดเผยว่า กรณีของนายวิฑูรย์ ได้มีการเสนอเข้ามาในที่ประชุม กกต. แล้วครั้งหนึ่ง จากตอนนั้นถือว่านานมาก และในที่ประชุมครั้งดังกล่าวก็ได้มีมติโดยส่วนใหญ่ให้ใบแดงแก่นายวิฑูรย์ แต่มีกรรมการท่านหนึ่งคือ นายสุเมธ อุปนิสากร ได้ขอนำเรื่องไปพิจารณาต่อเอง เนื่องจากเห็นว่าควรจะมีการสอบสวนเพิ่มเติม ดังนั้นจึงมีการยกเลิกการลงมติไป
หลังจากนั้นคณะอนุกรรมการสอบสวนที่มีการสอบสวนเพิ่มเติม ทั้งหมดมีมติให้ใบแดงเช่นกัน แต่สุดท้าย กกต.กลางก็ตีเรื่องกลับไปให้ กกต.จ.อุบลราชธานีสอบสวนใหม่ ถึงตอนนี้เรื่องดังกล่าวผ่านพ้นไป 2-3 เดือนแล้ว กรณีดังกล่าวยังไม่มีการประชุมหารือกัน เพราะต้องรอให้เรื่องเข้ามาในวาระการประชุมก่อน ดังนั้น จึงยังไม่สามารถตอบคำถามได้มาก
อย่างไรก็ตามคดีนี้ต้องจับตาดูให้ดี กกต. จะทำอะไรก็ต้องระวัง และไม่ว่าตัดสินใจหรือมีวิธีการทำงานอย่างไร กกต. ต้องสามารถอธิบายให้ประชาชนฟังได้
ลือกระหึ่ม 3 กกต.อยู่ฝ่ายพันธมิตร
“ก็สงสัยอยู่ว่าทำไมเรื่องเงียบไปนาน ไม่รู้ว่ามีมือที่มองไม่เห็นอีกหรือเปล่า เรื่องนี้ต้องมีการพูดให้ กกต. เร่งทำงานให้เสร็จสิ้นเร็วๆ ถ้า กกต. พิจารณาให้เท่าเทียมกันทุกพรรคจริง อาจไม่มีพรรคไหนเหลืออยู่เลย ก็ต้องเลือกตั้งกันใหม่”
ทั้งนี้ นางสดศรี ยังกล่าวว่า กกต. เตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งใหม่เสมอ และหากมีการเลือกตั้งใหม่ กกต. ก็จะวางแผนกฎระเบียบใหม่เพื่อรองรับการทุจริตด้วย อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าขณะนี้ กกต. ทำงานได้ยากขึ้น พร้อมกับขอให้กลุ่มที่ทำให้เกิดความแตกแยกกันในประเทศ ยุติบทบาทตัวเองลงเพื่อบ้านเมืองจะได้ไม่วุ่นวาย
ขณะเดียวกันแหล่งข่าวใน กกต. ระบุด้วยว่าใน กกต.เอง ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์และพูดจาตั้งข้อสงสัยกันหนาหู ว่าในจำนวน กกต. ทั้ง 5 คนนั้น มี 3 คนที่เป็น กกต.สายพันธมิตรฯ และมีความเชื่อมโยงกับพรรคประชาธิปัตย์อย่างเหนียวแน่นจริงหรือไม่
ย้อน “วิฑูรย์” แก้ตัวฟังไม่ขึ้น
ส่วนกรณีที่นายวิฑูรย์ ออกมายืนยันความบริสุทธิ์ พร้อมกับท้าลาออกนั้น นายสมบัติ รัตโน ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นผู้ร่วมร้องกรณีนายวิฑูรย์ กล่าวว่าต้องเข้าใจว่านายวิฑูรย์เป็นรองหัวหน้าพรรค ดังนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่แล้วที่จะออกมาพูดสร้างความเชื่อมั่นของตนเองและพรรค
ถึงไม่มีการพูดเช่นนี้ พรรคประชาธิปัตย์เองก็ต้องมาไล่บี้ให้ทำอยู่ดี ซึ่งเรื่องดังกล่าวนายวิฑูรย์และพรรคก็ต้องรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าความจริงคืออะไร แล้วเมื่อผลออกมาว่านายวิฑูรย์ทำผิดจริง ผลก็คือได้รับใบแดง อย่างไรเสียก็ต้องออกจากการเป็น ส.ส. อยู่ดี เพราะฉะนั้นที่ออกมาพูดเช่นนี้ก็ไม่ได้สร้างความน่าเชื่อถือหรือหวือหวาอะไร เพราะเป็นเรื่องที่เข้าใจกันตามระเบียบอยู่แล้ว
ถึงอย่างไร นายสมบัติ ยังเชื่อมั่นว่า กกต. จะพิจารณาตามกระบวนการที่ถูกต้อง พร้อมกับขอให้มีการพิจารณาสอบสวนโดยเร็ว เพราะเท่าที่ผ่านมา กกต. มักจะทำงานสอบสวนคดีของพรรคประชาธิปัตย์ช้า ซึ่งเรื่องนายวิฑูรย์ได้มีการร้องไปตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งที่ผ่านมา
กกต.ถึงเวลาต้องพิสูจน์ตัวเอง
ส่วน นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ในฐานะผู้ร่วมยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กลางสอบสวนกรณีนายวิฑูรย์ ส่อทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ด้วยการจัดมหรสพและแจกตั๋วภาพยนตร์ โดยให้หัวคะแนนไปแจกจ่ายให้ประชาชนในช่วงเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ซึ่งพรรคได้ติดตามความเคลื่อนไหวมาตลอด แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใด กกต.กลาง จึงยังไม่นำเข้าที่ประชุมพิจารณาเสียที
นายศุภชัยกล่าวอีกว่า กรณีดังกล่าวนายวิฑูรย์ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งชัดเจน เข้าข่ายปราศรัยและจัดมหรสพ พร้อมแจกคูปองที่สามารถนำไปแลกตั๋วหนังได้ฟรี ซึ่งสิ่งที่พูดทั้งหมด มีทั้งพยานหลักฐาน พยานบุคคล รวมทั้งวีซีดีที่บันทึกเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย ซึ่งทาง กกต.กลาง อย่าปฏิบัติตนให้ถูกกล่าวหาว่าทำอะไรอยู่ หรือเป็นการทำประโยชน์เพื่อให้พรรคการเมืองใดหรือไม่ ทั้งที่มีความผิดชัดเจน
เรื่องดังกล่าวจะว่าไปแล้วก็ไม่แตกต่างจากกรณีที่ จ.เพชรบูรณ์ ที่มีการแจกเงิน 1.3 ล้านบาท ถูกจับได้คาหนังคาเขาแต่สุดท้ายได้แค่ใบเหลือง เพราะฉะนั้น กกต.ควรพิสูจน์ว่าที่เป็นองค์กรอิสระนั้นทำงานโดยอิสระจริงๆ
"ผมมองว่า หากเรื่องนี้ไม่แดงแล้ว ทั้งที่พยานหลักฐานชัดเจน ผมก็จะดูว่า กกต.มีพฤติการณ์ใดที่กระทำไปโดยชอบหรือไม่ หากไม่ชอบอาจใช้ช่องทางกฎหมายดำเนินการทางอาญาต่อไป และมีสิทธิ์ถูกยื่นถอดถอนได้"
อีกทั้ง ยังกล่าวถึง นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี หลังจากมีการกล่าวในรายการสนทนาประสาสมัครแสดงความมั่นใจว่ากรณีดังกล่าวพรรคประชาธิปัตย์จะถูกยุบพรรคแน่นอนนั้น นายศุภชัย ยืนยันว่านายสมัครมองในมุมมองที่เป็นนักกฎหมายเหมือนกัน
กกต.อ้างข้อมูลไม่ครบรอสอบเพิ่ม
ด้าน นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวตอบโต้กรณีที่นายสมัคร ระบุว่า กกต. เตรียมให้ใบแดงนายวิฑูรย์ โดยยืนยันว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่ได้รั่วไหลจาก กกต.อย่างแน่นอน เพราะการพิจารณาสำนวนของ กกต.ต้องเป็นความลับ ซึ่งไม่ทราบว่านายกรัฐมนตรี รับทราบข้อมูลมาจากที่ใด และจะไม่ทำให้ กกต.รู้สึกกดดันในการทำงาน เพราะ กกต.ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ยึดข้อเท็จจริงเป็นหลัก อย่างไรก็ตามขณะนี้สำนวนของนายวิฑูรย์ ยังอยู่ที่ กกต.อุบลราชธานี ไม่มีการส่งถึง กกต.กลางแต่อย่างใด และเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการต่อรองยุบพรรคอย่างแน่นอน
ด้าน นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง ด้านบริหารการเลือกตั้ง กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า กกต.เคยพิจารณาแล้ว แต่เห็นว่าข้อมูลไม่ครบถ้วน จึงมอบหมายให้ฝ่ายสืบสวนสอบสวน ไปสอบข้อเท็จจริงให้ครบถ้วน ขณะนี้อยู่ในชั้นของอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ซึ่งสำนวนยังไม่ถึง กกต. ทั้งนี้ยืนยันว่า กกต.จะพิจารณาเหมือนกับคดีอื่นๆ โดยยึดพยานหลักฐานและข้อกฎหมายเป็นหลัก ไม่ได้ดูว่าเป็นพรรค หรือ บุคคลใด ซึ่งการที่นายกรัฐมนตรีออกมาพูดเช่นนั้น เป็นการพูดในเชิงโยนหินถามทางมากกว่า ไม่ได้กดดันการทำงานของ กกต.
ส่วนที่นายสมัคร ระบุว่า มาตรา 237 ของรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดปัญหาทางการเมืองในขณะนี้ นายประพันธ์ กล่าวว่า มาตรา 237 เขียนให้ชัดเจนขึ้น หากมีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง พรรคจะต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย ซึ่งการยุบพรรคไม่ใช่จะยุบได้ทุกเรื่อง ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องใช้ดุลพินิจอย่างรอบคอบว่าพรรคมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ อย่างไรก็ตามหากจะมีการแก้ไขมาตราดังกล่าวก็เป็นเรื่องของผู้มีอำนาจ กกต. พร้อมปฏิบัติตาม