คอลัมน์ : บทความพิเศษ
อันนำสู่เหตุการณ์ปัจจุบัน
สงครามระหว่างประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยกับระบอบอำมาตยาธิปไตย สู้กันมาตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 จนทุกวันนี้ ผ่าเข้าพฤษภาคม 2551 แล้ว สงครามก็ยังดำเนินต่อไป...ดุเดือดขึ้นทุกวัน ชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ก็สันดานเสียเหมือนเดิม...คือ มือไม่พายเอาตีนรานํ้า เป็นกลุ่มคนที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในแผ่นดินไทย
วันนี้อำมาตยาเล่นแรง...คิดถึงขนาดจะรัฐประหารซํ้าอีกครั้ง ถึงขนาดฝึกซ้อมการจับกุม ล่าสังหาร เข่นฆ่าประชาชน วางแผนสร้างสถานการณ์เลวร้ายเพื่อปูทางไปสู่การรัฐประหาร ซึ่งถ้าเป็นไปตามแผน...หรือที่หลายคนเรียกว่า โมเดล 2519 คือ เอาเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม 2519 เป็นต้นแบบ ถ้าเป็นไปตามนั้น อำมาตยาก็ต้องปิดประเทศ...เพราะไม่มีใครคบ ถึงมีคนคบด้วย...เขาก็จะคบอย่างเอาเปรียบสุดๆ เหมือนที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เคยเจอเมื่อปี 2549-2550
แล้วถ้าปิดประเทศจริงๆ พวกนายทุนฝ่ายอำมาตยา...หรือกลุ่มทุนสามานย์ตัวจริง เขาคิดว่าพวกเขาไม่เดือดร้อน เพราะทำธุรกิจผูกขาดกันอยู่ไม่กี่ตระกูล พวกนี้เชื่อว่าคนไทย 60 ล้านคนนั้น เพียงพอให้พวกเขาขูดรีดต่อไปได้อีกนาน
ก็ว่ากันไป...ทีนี้ ดูหน้าแนวร่วมอำมาตยาแต่ละตน
ชนชั้นกลางในเมือง...ถามจริงๆ เถอะว่า คนพวกนี้จะทนอยู่กับสภาพชีวิตของการปิดประเทศได้หรือไม่ จะมีไหม งานโฆษณาต่างๆ ...จะมีให้ทำได้อีกกี่เดือน...จะมีอะไรให้ช็อปปิ้งกันอีกหรือไม่ จะมีโอกาสใส่เสื้อผ้าแฟชั่นกันอีกหรือเปล่า...??
ถึงวันนั้น จำลอง ศรีเมือง กับ ประเวศ วะสี เขาคงอนุญาตพวกเธอหรอกนะ...วิถีชีวิตชนชั้นกลางในเมืองจะเปลี่ยนไปอย่างหักมุม...และรุนแรงที่สุด นับถอยหลังไปได้เลยสำหรับคนกรุงเทพ หากอำมาตยาได้ชัยชนะ
ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยไม่เดือดร้อนเรื่องนี้ เพราะปกติก็ลากรองเท้าแตะกันอยู่แล้ว และถึงตอนนั้น…ถ้าไม่ตาย ก็คงกลายเป็นกองโจรกู้ชาติ เผ่นหนีรักษาชีวิตกันไปวันๆ คงไม่มีโอกาสเดินช็อปปิ้งที่ไหน
คนที่ต้องเดือดร้อนแสนสาหัส...ก็พวกลูกหลานชนชั้นกลางทั้งนั้น
สูตรสำเร็จง่ายๆ
รัฐประหาร/อำมาตยาชนะ = ปิดประเทศ = เศรษฐกิจล่ม = ไม่มีวิถีชีวิตสุขสบาย
รัฐประหาร/อำมาตยาชนะ = ปิดประเทศ = อำมาตยากลุ่มเล็กๆ เสพสุขผู้เดียว
รัฐประหาร/อำมาตยาชนะ = ปิดประเทศ = ไม่มีความบันเทิงสำหรับชนชั้นกลาง
รัฐประหาร/อำมาตยาชนะ = สงครามกลางเมือง...ยืดเยื้อ คนตายนับล้าน
ถามจริงๆ เถอะว่า พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางจะยอมรับ หรือทนกับสภาพเช่นนี้ได้หรือไม่...แต่อย่างว่า พูดไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะคนเราไม่เปลี่ยนสันดานกันง่ายๆ สมัย คมช. คนพวกนี้ก็เงียบเป็นเป่าสาก พอทหารกลับเข้ากรมกอง...ทีนี้บ่นกันใหญ่ เรียกร้องกันใหญ่ ทำตัวเป็นส่วนเกินของสังคมตลอดเวลา
พูดกันตรงๆ ฝ่ายอำมาตยาไม่ได้มีพลังมวลชนอะไรนักหนา แต่ที่ยังมีฤทธิ์เดชอยู่ได้ ก็เพราะพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางที่โฉบไปโฉบมา ก่อให้เกิดภาพลวงในใจอำมาตยา..ว่า ตนยังมีมวลชนอยู่ ซึ่งก็มองข้ามไปอีกว่ามวลชนที่เดินอยู่สยามพารากอน มันจะเอามาทำอะไรได้ ขณะที่มวลชนของฝ่ายประชาธิปไตยเคยมีคนอย่าง นวมทอง ไพรวัลย์ และยังคงมีคนประเภทที่คิดโยนส้มใส่รถถัง ขอให้ลองคิดดูว่า...เวลาเด็กผู้หญิงโยนส้มใส่รถถัง แล้วโดนทหารยิงตายกลางถนน...??
อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนั้น ภาพข่าวที่ออกไปจะเป็นอย่างไร คือ ถ้ามีการรัฐประหารในเร็ววัน รับรองว่าจะมีภาพเช่นนี้เกิดขึ้นแน่นอน รัฐประหารอีกครั้ง... รับรองว่าจะได้เห็นภาพเด็กผู้หญิงโยนส้มใส่รถถัง แล้วโดนทหารยิงตายกลางถนนแน่นอน
และทุกครั้งที่มีการบีบคั้นกดดันจากต่างประเทศ คนที่เดือดร้อนอันดับต้นๆ ก็คือพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในเมืองนี่เอง เพราะวิถีชีวิตคนพวกนี้ผูกติดอยู่กับระบบทุนนิยมสมัยใหม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์...
และตรงนี้เองที่เป็นเรื่องตลกหักมุม คือ คนที่มีส่วนได้เสีย มีชีวิตผูกพันกับระบบเสรีทุนนิยมและระบอบประชาธิปไตยมากที่สุด กลับไม่เคยคิดต่อสู้เพื่อปกป้องระบอบที่เอื้อความสุขให้ตนเอง ซํ้าร้ายยังหันไปยินดีกับระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย...ร่วมสร้างระบอบซึ่งบั่นทอนและทำลายวิถีชีวิตอันมีความสุขของตนเอง ร่วมสร้างและสนับสนุนระบอบที่คิดร้ายต่อครอบครัวตนเอง...แล้วยังตั้งตัวเป็นศัตรูกับประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบอบเดียวที่สามารถเอื้อความสุขสบายให้ตนและครอบครัว
จะหาเหตุผลอะไรมาอธิบายพฤติกรรมเช่นนี้?
นอกเสียจากว่าเป็นคนโง่ ทั้งโง่และบ้า...เหนือสามัญสำนึกมนุษย์ธรรมดาพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในเมือง คือ คนบ้า โง่เง่า ที่ไร้ประโยชน์อย่างที่สุด??
นี่แหละ เขาถึงเรียกพวกนี้ว่า "ชนชั้นปรสิต"
มาถึงวันนี้ (พ.ค.2551) คนพวกนี้ก็ยังไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น
เขาจะแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้พรรคการเมืองมีเสถียรภาพในการบริหารบ้านเมือง และเพื่อกำจัดศัตรูของระบอบประชาธิปไตย ก็เพื่อให้พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางได้มีชีวิตและเศรษฐกิจที่ดีขึ้นกว่านี้ พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในเมืองก็ไม่เอาอีก!!
เวลาที่กล่าวถึง พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในเมือง ย่อมหมายรวมถึงสื่อมวลชนด้วย เพราะสื่อมวลชนไทยก็คือพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง
คนพวกนี้...เวลาทหารถือปืนคุมอยู่ในห้องทำงาน ก็บอกว่าสื่อมีเสรีภาพมากขึ้น แต่เวลาที่อยู่ลำพัง จะเขียนโกหกพกลมอย่างไรก็ได้ กลับบอกว่าถูกแทรกแซง
โอย...ตรรกะแบบนี้ คนบ้าชัดๆ
อีกกรณีหนึ่ง พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในเมืองชอบท่องคาถาว่า “คนชนบทเลือกรัฐบาล คนกรุงเทพ ล้มรัฐบาล” ...นี่ก็ความคิดชั่วช้า เห็นแก่ตัว
คนที่คิดแบบนี้ได้ ไม่ใช่คนไทยอีกแล้ว แต่เป็นศัตรูของประชาชนไทยทั้งหมด หากพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางในเมืองมีความคิดเช่นนี้ ก็ไม่ควรมองว่าคนเหล่านี้เป็นคนไทยอีกต่อไป ดังนั้นหากจะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในอนาคต ก็ไม่ใช่คนไทยรบกับคนไทย เพราะ พวกนี้ไม่ใช่ประชาชนไทย
มีเพื่อนคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า...
บางที การที่เราไม่เข้าใจตรรกะของพวกเขา เขาอาจไม่ได้โง่และบ้าอย่างที่เราคิด แต่เป็นเพราะ เขาไม่ใช่มนุษย์ อาจเป็นเอเลี่ยนจากต่างดาว จึงมีตรรกะที่ต่างออกไป ก็ฟังไว้เล่นๆ ขำๆ นะครับ อย่าไปจดจำข้อความนี้...เพราะมันเป็นกระบวนความคิดที่เรียกว่า dehumanization ซึ่งเขาใช้กันในยามศึกสงคราม ประเภทสงครามกลางเมือง
ไม่ดีครับ ไม่ดี...เพราะเวลาที่เราคิดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คน เราสามารถกระทำต่อเขาอย่างไร้ความเมตตา...คือจริงๆ พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางก็มองพวกเราแบบนี้ คือคิดว่าใครที่อยู่ฝ่ายประชาธิปไตย รวมทั้งคนเหนือ คนอีสาน ไม่ใช่มนุษย์อยู่แล้ว ไม่เชื่อลองย้อนกลับไปฟังคำพูดของพวกอำมาตยาอย่าง อานันท์ ประเวศ ธีรยุทธ หรือพวกคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ไทยทั้งหลาย สื่อกระแสหลักเขามองประชาชนเป็นวัวเป็นควาย และไม่ใช่คนมานานแล้ว
แต่เราไม่ลงไปเล่นในระดับนั้น เพราะเราอยู่ฝ่ายธรรมะ...เราอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย วินาทีนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เราจะใช้กระบวนคิดเช่นนี้...
ก็ให้สรุปง่ายๆ สั้นๆ ว่า ศัตรูของเราเป็นคน แต่เป็นคนที่ทั้งโง่และบ้า (สุดขีด)
ดังนั้น อย่าประมาท อย่าเอาตรรกะมนุษย์แบบเราท่านเป็นมาตรฐานอย่างเดียว ต้องมองความเป็นไปได้แบบสุดขั้วไว้ด้วย นายกฯ ทักษิณ เป็นตัวอย่างของคนที่ไม่เชื่อทฤษฎีมองโลกอย่างสุดขั้ว แล้วเป็นอย่างไรครับ...โดนรัฐประหารทันที
ดังนั้น เมื่อ พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดไว้ว่า "อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด"
เชื่อเขาเถอะครับ เขาหมายความเช่นนั้นจริงๆ แล้วเขาจะทำจริงๆ ด้วย
ฝ่ายนั้นเขาอยู่เหนือเหตุผล เหนือสามัญสำนึกของมนุษย์ปกติ
เว็บไซต์ SIAM Freedom Fight