คอลัมน์ : โต๊ะข่าวประชาทรรศน์
รายการสนทนาประสาสมัคร เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ซึ่ง นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ใช้เวลานานเป็นพิเศษ ต้องต่อเวลาออกไป 35 นาที ทำให้ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (เงา ) ออกอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ในการแถลงข่าวตอบโต้ทันที อาจจะเป็นเพราะไม่มีอะไรทำฆ่าเวลา เหมือนในอดีตที่เคยสาธิตการเสพยาบ้า จนฮือฮากันทั้งประเทศมาแล้ว
ในทางกลับกัน 1 ชั่วโมง 35 นาที ดูเหมือนจะน้อยไปด้วยซ้ำสำหรับกองเชียร์ ซึ่งเฝ้าชมรายการสนทนาประสาสมัครด้วยความสะใจ สุดมัน(ส์) ในเนื้อหาสาระที่นายกฯ สมัคร อธิบายความเป็นฉากๆ
ต้องยอมรับกันว่า ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลของ นายสมัคร สุนทรเวช ตกอยู่ในสภาพถอยร่นตั้งรับมาตลอด ตั้งแต่จัดตั้งรัฐบาลขึ้นมา หรืออาจจะพูดได้ว่า ตั้งรับมาตั้งแต่ห้วงเวลารณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. เพราะต้องเจอกับแผนการทำลายล้างของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. ดังที่ปรากฏในเอกสารลับ ประสานกับมือที่มองไม่เห็น
แม้นายสมัครจะถ่อมตัวว่าเป็นคนต้นทุนต่ำ เป็นมือใหม่หัดขับ แต่ผมยืนยันมาตลอดว่า นายสมัครเป็นคนต้นทุนสูง ถ้าเป็นคนต้นทุนต่ำ เป็นมือใหม่หัดขับ คงไม่สามารถยืนระยะได้นานมาจนถึงวันนี้ คงแหกโค้งไปตั้งแต่โค้งแรกแล้ว
และ...ผมเชื่อว่า คนที่สนับสนุนให้นายสมัครมากุมบังเหียนเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน คงจะมองไม่ต่างจากผม
ไม่ทราบว่าการถ่อมตัวเป็นคนต้นทุนต่ำ เป็นมือใหม่หัดขับหรือเปล่าไม่ทราบ ทำให้รัฐบาลของ นายสมัคร สุนทรเวช ตกอยู่ในสภาพถอยร่นตั้งรับกับขบวนการขับเคลื่อนขับไล่รัฐบาล ที่ประสานงานกันอย่างเป็นระบบทั้งในและนอกสภา
ปล่อยให้แก๊งข้างถนนทำผิดกฎหมายซ้ำซาก โดยไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ ทำให้แก๊งข้างถนนได้ใจ เหิมเกริม สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนไม่เว้นแต่ละวัน
เหิมเกริมถึงขนาดยกขบวนการไปปิดถนนหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวหาสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นซ่องโจร โดยตำรวจได้แต่ยืนขาสั่นทำตาปริบๆ
ด้วยเหตุนี้แหละ ทำให้คนที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของแก๊งข้างถนน ไม่กล้าแสดงตัวออกมา เพราะทุกคนมีสิทธิ์ถูกขุดโคตรขึ้นมาด่าหยาบๆ คายๆ ดูตัวอย่าง นายศรราม เทพพิทักษ์ ดารานักแสดงชื่อดัง โดนด่าจนต้องยกมือไหว้ขอโทษ
ในขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ถูกกระหน่ำด้วยฤทธิ์เดชของตุลาการภิวัตน์ซ้ำๆ ซากๆ
ทำให้นายสมัครถูกกล่าวหา เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีอำนาจในการปกครองและการบริหาร
จนกระทั่งเมื่อวันวาน นายสมัครประกาศชักธงรบ ไม่ถอยร่นไม่เป็นท่าเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป เช่น เปิดโปงกระบวนการที่จ้องทำลายทุกรูปแบบ พร้อมจะแตกหัก
โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตัวต้นเหตุของปัญหาทั้งมวล ซึ่งเป็นที่รับรู้กันทั่วไป ในการรณรงค์หาเสียงของพรรคพลังประชาชนนั้น ได้ยืนยันกับประชาชนว่า หากได้รับเสียงข้างมากในสภา ก็จะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับหน้าแหลมฟันดำ กากเดนของเผด็จการทันที
แต่ไม่ทราบว่านายสมัครคิดอะไร จึงเผลอไผลพลั้งปากว่า จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนจะหมดวาระ 3 เดือน
คำพูดประโยคนี้จึงเป็นนายของนายสมัครไปทันที
ถูกฝ่ายที่คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญหยิบมาบลัฟทุกครั้งที่พรรคพลังประชาชนเคลื่อนไหวให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
มิหนำซ้ำ ญัตติการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญของสมาชิกพรรคพลังประชาชน ที่ได้ยื่นให้ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ดำเนินการบรรจุเป็นวาระการประชุมของสภา เพราะทนรอให้เกิดวิกฤติก่อนไม่ได้ ก็ต้องมีอันตกไป เพียงแค่แก๊งข้างถนนรวมตัวกันข่มขู่
แล้ววันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่มีสัจจะในหมู่โจร ไม่ว่า นายจักรภพ เพ็ญแข จะแสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญของสมาชิกพรรคพลังประชาชนต้องตกไป และ นายนพดล ปัทมะ แสดงสปิริตตามนายจักรภพ ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
แก๊งข้างถนนยังคงเดินหน้า ได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา จนถึงประกาศสร้างระบอบการเมืองใหม่ ให้ทหารเข้ามามีบทบาทในทุกเรื่อง คิดจะพาประเทศชาติดำดิ่ง ถอยกลับไปเมื่อครั้งมนุษยชาติยังใช้หินเป็นอาวุธ
ดังนั้นเมื่อ นายสมัคร สุนทรเวช ประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญทันทีที่สภาเปิดการประชุมสมัยสามัญ ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ และจะดำเนินการกระทำสิ่งต่างๆ ที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม อันเกิดจากผลพวงของเผด็จการ ให้ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย
นี่คือสิ่งที่กองเชียร์อยากจะได้ยินจากปากของ นายสมัคร สุนทรเวช มานานแล้ว เพื่อสู้กับเสียงนกหวีดที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ประกาศว่าจะเป่าเรียกให้คนมาชุมนุมกันให้มืดฟ้ามัวดิน
พอกันทีกับการนั่งฟังเพลงชีวิตเปรียบเป็นเรือน้อย ต่อไปนี้ต้องฟังเพลงของ เจิน เจิน ที่ว่า “ต้องสู้...ต้องสู้ จึงจะชนะ”
เอกฉัตร