ที่มา บางกอกทูเดย์
จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ยิ่งใกล้วันครบรอบ 3 ปีในการทำรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549มากขึ้นเท่าไร แรงกดดันทางการเมืองก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้นสะท้อนชัดว่า การทำรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือ คปค.นั้นไม่เพียงไม่สะเด็ดน้ำแต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับและทำให้การแก้ไขปัญหาต่างๆ ของบ้านเมืองเป็นไปอย่างไม่ถูกจุด เกาไม่ถูกที่คันรัฐบาลหลังการรัฐประหารเป็นต้นมา จึงตกอยู่ในยถากรรมแห่งกระแสการเมืองทั้งสิ้นเพราะกลายเป็นสังคมที่มีทั้งคนใหญ่ และคนอยากใหญ่เข้ามาวุ่นวายกับระบบ จนเรื่องง่ายๆ ที่ควรจะจบลงได้ก็ยังไม่สามารถจบลงได้ยิ่งความรีบร้อนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ฉวยจังหวะทางการเมือง ภายใต้แรงกดดันพิเศษของกลุ่มอำนาจต่างๆทั้งในสภาและนอกสภา ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองผสมผสานกับกิเลสทางการเมืองของนักการเมืองบางกลุ่มนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีโดยมองข้ามความจริงในเรื่องของ “การลัดตัดเส้นทาง” กับ“การยอมรับ” ของสังคมภาพรวมรอยปริแยกแตกต่างทางความคิดในสังคมจึงยังไม่ยอมจบลงง่ายๆและในวันนี้รัฐนาวาของนายกฯ อภิสิทธิ์ จึงเผชิญกับคลื่นลมแรงทางการเมืองอย่างน่ากลัวมากทั้งฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยโดยเปิดเผยที่ยืนหยัดชุมนุมต่อต้านแบบเปิดหน้าชกของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่สังคมทั้งสังคมรับรู้ว่าไม่ยอมรับรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เพราะเห็นว่าเป็นการขึ้นมาแบบมีตำหนิแต่ในขณะเดียวกัน รัฐบาลนายอภิสิทธิ์กลับยังต้อง
เผชิญกับฝ่ายที่ลึกๆ แล้วไม่ได้ยอมรับ และพร้อมที่จะแอบเล่นงานอยู่ลับๆ ตลอดเวลาด้วยเหตุผลที่ว่า การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์อำนาจขัดกันก็บรรลัยผลประโยชน์ขัดกันก็ต้องฉิบหายกันไปข้างหนึ่งถือเป็นสงครามใต้ดินที่น่ากลัวที่สุดในทางการเมือง!!!เหมือนกับสำนวนที่ว่า เกาทัณฑ์เปิดเผยป้องกันง่ายแต่เกาทัณฑ์ลับนั้นป้องกันยากยิ่งเป็นเกาทัณฑ์ลับที่พุ่งออกมาจากมือของคนที่คิดว่าอยู่ในฝ่ายเดียวกัน ในพวกเดียวกันด้วยแล้ว บางครั้งแม้กระทั่งลมหายใจสุดท้ายปลิดปลง ก็ยังไม่รู้ว่า “ทำไม”กลายเป็นวิญญาณงมงายในปรโลกก็ได้แต่ให้กำลังใจและตั้งความหวังเอาไว้ว่า นายอภิสิทธิ์จะไม่งมงายหรือไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยจริงๆดูแค่ในขณะนี้ เรื่องของ การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร.คนใหม่ ไม่ใช่เรื่องที่มาจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยอย่างเปิดเผยเลยสักนิดภายใต้อำนาจของนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นผบ.ตร.ก็ตาม กลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมกันอยู่ล้วนแล้วแต่ทำใจเอาไว้ล่วงหน้าว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง???จะเป็น พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจขึ้นมาหรือจะเป็น พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร.ขึ้นมาและแม้กระทั่งจะเป็น พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรีที่ปรึกษา สบ 10 ขึ้นมาสำหรับกลุ่มคนเสื้อแดงแล้ว เชื่อว่าคงไม่มีอะไรแตกต่างกันเท่าไรแน่ เพราะนายกฯ อภิสิทธิ์ ก็คงต้องย้ำสั่งย้ำกำชับกำชาให้เข้มงวดกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ชนิดเต็มอัตราศึกของกองกำลังผสมระหว่างตำรวจและทหารอย่างแน่นอนเพราะผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดาไม่ได้มีปัญหาหรือลังเลในการที่จะปกป้องรัฐบาลปัจจุบันอยู่แล้วดังนั้น การที่ ผบ.ตร.คนใหม่ จะเป็นใครก็ตามถ้านายกรัฐมนตรียังเป็นนายอภิสิทธิ์ กลุ่มคนเสื้อแดงย่อมไม่คาดหวังใดๆ ทั้งสิ้นว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นนั่นหมายความว่าเกมชักคะเย่อตำแหน่ง ผบ.ตร.คนใหม่
ในเวลานี้ เป็นเรื่องของ “คนกันเอง” ทั้งนั้นโดยอาจจะมีเรื่องของ “ปรากฏการณ์และข้อมูลพิเศษ”เข้ามาเกี่ยวข้อง และก่อให้เกิดการกล่าวอ้างกันไปต่างๆ นานาตามความเชื่อของแต่ละฝ่ายและตามวัตถุประสงค์ของแต่ละคนสิ่งที่ชัดเจนและเป็นคำตอบอยู่ในตัวเองของแต่ละกลุ่มที่ออกมาดิ้นรนมาขยับไพ่กันไปมาอยู่ในเวลานี้ก็คือ“มีได้มีเสีย” นั่นเองทำไมทั้งนายอภิสิทธิ์และกลุ่มพันธมิตรฯ จึงต้องให้เป็นพล.ต.อ.ปทีป ให้ได้ทำไม นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณและกลุ่มก๊วนพรรคภูมิใจไทย จึงต้องจำยอมขัดใจนายอภิสิทธิ์ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า นายอภิสิทธิ์มาถึงวันนี้และยืนหยัดอยู่ได้ในขณะนี้ ไม่เพียงไม่ธรรมดา และแน่นอนว่าแบ็กต้องดีและแข็งโป๊กอย่างมากๆ เลยทีเดียวฉะนั้น นอกเหนือจากการที่นายอภิสิทธิ์จะเรียกนายนิพนธ์เข้าไปหารือครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้ได้ตามวัตถุประสงค์ในเรื่องของการแต่งตั้ง พล.ต.อ.ปทีปดั่งใจแล้วนายอภิสิทธิ์น่าจะลองกลับมาพิจารณาถึงต้นตอแห่งปัญหาที่แท้จริงด้วยว่า เพราะอะไรเรื่องที่ดูเหมือนน่าจะง่ายเพราะเป็นอำนาจตามกฎหมายที่ให้นายกรัฐมนตรีสามารถพิจารณาแต่งตั้งตำรวจได้เพียงแค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้นตำแหน่งอื่นๆ จะล้วงลูกล้วงโผไม่ได้ นั่นก็คือตำแหน่ง ผบ.ตร.ขนาดที่มีกฎหมายชัดเจนอย่างนี้แล้ว ทำไมเรื่องง่ายจึงกลายเป็นยากนายนิพนธ์นั้นก็ถือว่าเป็นคนเก่าคนแก่ของพรรคประชาธิปัตย์ แถมยังร่วมชะตากรรมกันมาเมื่อครั้งกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงบุกกระทรวงมหาดไทย แล้วทำไมตอนนี้นายนิพนธ์ถึงมีท่าทีแข็งขืนเช่นกันกับนายสุเทพ ที่แสดงอาการอิดหนาระอาใจส่ายหน้าให้เห็นได้ชัดสิ่งเหล่านี้ นายอภิสิทธิ์แม้ว่าจะนั่งหัวโต๊ะ ก.ต.ช. และแม้กระทั่งจะเป็นนายกรัฐมนตรี ก็จำเป็นที่จะต้องถามตัวเองดังๆ3 ครั้ง 3 เวลาหลังอาหารในช่วงนี้ว่า“ทำไม???”
จริงอยู่ในมุมมองของนักบริหารระดับออกซ์ฟอร์ดเช่นนายอภิสิทธิ์ ที่มีกลิ่นอายของความเป็นนักวิชาการสูงกว่านักปฏิบัติผู้ผ่านการเคี่ยวกรำในสนามการทำงานที่แท้จริงย่อมจะต้องชื่นชมในวิถีของ พล.ต.อ.ปทีป ซึ่งมีบุคลิกของการเป็นนักวิชาการเช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์แม้ว่าจะไม่ได้มีพวกมีเพื่อนมากเท่ากับ พล.ต.อ.จุมพลแต่เมื่อพูดกันรู้เรื่องในเชิงวิชาการ ในความแม่นยำในเรื่องของตัวบทกฎหมายหลายๆ คดีที่คาราคาซังอยู่ และเป็น “สลัก” สำคัญเกี่ยวพันกับเกมการเมือง ซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้หลักการที่ดูดีเป็นทางออกที่สวยงามนั้น ดูแล้วต้องเป็นนักวิชาการนั่นแหละเหมาะสมที่สุดและที่สำคัญ มองตาก็น่าจะสามารถเข้าใจกันได้ดีกับนายอภิสิทธิ์ว่าคิดอะไร ว่าต้องการอะไร!!!ตรงนี้แหละที่ทำให้นายอภิสิทธิ์ชื่นชอบ พล.ต.อ.ปทีปเป็นพิเศษผิดกับกรณีของ พล.ต.อ.จุมพลที่เพื่อนเยอะ แถมหนึ่งในบรรดาแวดวงคนใกล้ชิด ดันมามีภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี อยู่ด้วยนี่สิ...จะให้วางใจร้อยเปอร์เซ็นต์ได้อย่างไรยันกันในสภาพเช่นนี้จึงไม่แปลกที่เรื่องนี้ทำท่าว่าจะบานปลายขึ้นมาอีกรอบหนึ่งเมื่อกระหึ่มข่าวว่า ถ้าคุยกันไม่ลงตัวจริงๆ นายนิพนธ์ซึ่งกลายเป็นบุคคลที่ลำบากใจมากที่สุด เหนื่อยมากที่สุดก็คงต้องตัดสินใจไปเสียเองเล่นเอา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ถูกนายอภิสิทธิ์มอบหมายให้ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาตั้งแต่ต้นและเป็นผู้จัดการใหญ่ในการดำเนินการให้รัฐบาลชุดนี้ตั้งได้สำเร็จเป็นตัวเป็นตนถึงกับอึ้งและยืนยันชัดเจนว่า จนถึงขณะนี้นายนิพนธ์ยังถือเป็นคนที่ดีที่สุดในการให้ข้อคิดเห็นเรื่อง ผบ.ตร.คนใหม่ส่วนกระแสข่าวว่านายนิพนธ์จะลาออกนั้น นายสุเทพกล่าวเลี่ยงๆ ว่าให้ไปถามนายนิพนธ์เอาเอง!!!ขึงพืดกันขนาดนี้ แต่ละขั้วการเมืองอึดอัดแน่ฉะนั้น ทฤษฎี “ตาอยู่” จึงได้โผล่ขึ้นมาเป็นทางเลือกที่ 3ของทางออกแห่งการเผชิญหน้ากันในการตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ในครั้งนี้เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งยืนยันว่า ต้องเป็น พล.ต.อ.ปทีปและอีกฝ่ายก็ยืนยันว่า ต้องเป็น พล.ต.อ.จุมพลสุดท้ายระวังจะไปลงตัวที่ชื่อคนที่ 3 ซึ่งไม่ใช่ทั้งพล.ต.อ.ปทีป และ พล.ต.อ.จุมพล“ตาอินกะตานา โศกาอาวรณ์จริงเจียว ตาอยู่มาเดี๋ยวเดียวคว้าพุงเพียวๆ ไปกิน” ■