ที่มา บางกอกทูเดย์
โดยวัยวุฒิ..อายุอานามอีก 3 ปีจะ 50 นั้น..ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เด็กโดยวุฒิภาวะ..คนที่อยู่กับการเมืองมาอย่างยาวนานและไต่เต้าเติบโตมาถึงตำแหน่งหัวหน้าคนนั้น จะรู้ว่าบนตำแหน่งแห่งหนบนการเป็นหัวหน้านั้น..การเอื้อเฟื้อผ่อนปรนสำคัญกว่าความเข้มแข็งเด็ดขาดโดยคุณวุฒิ..การศึกษาที่เพียบพร้อมสมบูรณ์นั้น..ยืนยันว่าการฟังและใคร่ครวญอย่างรอบคอบ..จะให้คำตอบได้ดีกว่าคำปฏิเสธ..และผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลาย..เรียนรู้ที่จะปฏิเสธด้วยคำว่า..ให้..การศึกษาจะช่วยให้แยกแยะได้ว่า..ที่ใดมีคณะกรรมการ ที่นั่นก็มีการปรึกษาหารือ..ที่ใดมีการปรึกษาหารือ ที่นั่นจะต้องมีมากกว่าหนึ่งเพราะนายกรัฐมนตรีมาร์ค..มั่นอกมั่นใจในตนเองมากเกินกว่าความเป็นจริง เขาจึงตกเข้าไปอยู่ในชะตากรรม..ชนิดที่เรียกได้ว่า..เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยก็ไม่ออกและที่สำคัญที่สุด..มันมีความสำคัญ
ถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี..หรือเอาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเข้าไปเป็นเดิมพันบนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น..สิ่งที่ต้องควบคุมให้ได้เป็นอันดับแรก คือ..อารมณ์กลับบ้านเถอะลูก..อดีตนายกรัฐมนตรีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์..บอกกับฝูงนักข่าวเมื่อใกล้เช้าวันหนึ่ง เพราะไม่พึงประสงค์จะตอบคำถามที่ตอบยากจอมพลถนอม กิตติขจร..ยิ้มอย่างอารมณ์ดีหนีคำถามของฝูงนักข่าวที่รุมล้อมขึ้นรถ..แต่ทันทีที่ประตูรถปิด..จอมเผด็จการกระทืบเท้ากับพื้นรถคณะผู้ติดตามและคนขับรถเท่านั้นที่รู้โน พร็อบเบลม..พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ..อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ล่วงลับ..ใช้ประโยคนี้ควบคุมอารมณ์ของตนแอง..ทันทีที่ วีระ มุสิกพงศ์..อภิปรายจบ..ม.ร.ว.เสนีย์ปราโมช..กับอารมณ์ที่เร่าร้อนเต็มที่..ก็ประกาศลาออกกลางสภา..เปลี่ยนไปอีกถึง 7 นายกรัฐมนตรี..กว่าประชาธิปัตย์จะได้ ชวน หลีกภัยขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแยกแยะไม่ได้ว่าอะไรสำคัญกว่ากัน ระหว่างตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ..ก็เพราะอารมณ์วิ่งนำหน้า เหตุผลเดินช้าตามหลัง เสนอคนเดียวให้คนทั้งคณะต้องเห็นชอบนั้น..มันเผด็จการไม่ใช่ประชาธิปไตย..คุมอารมณ์ไม่ได้..นานไปจะรักษาเก้าอี้ไม่ได้■