บทความโดย..ลูกชาวนาไทย
หากเราติดตามบทบาทของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในช่วงนี้ เราจะเห็นว่ามีการเคลื่อนไหวค่อนข้างมาก อยู่ไม่ติดที่ และมีการย้ายบ้านประจำ เนื่องจากถูกกดดันจากพลังมวลชนเสื้อแดง รวมทั้งสถานการณ์ทางการเมืองในระดับมหภาคที่เราเห็น ทั้งความเจ็บป่วยของผู้มีบารมีทั้งหลาย ที่ได้ยินข่าวลือต่างๆ มากมาย ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตกลงไปกว่า 70 จุด ส่วนทางกับตลาดโลกที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น
การตื่นตกใจในตลาดหุ้น เกิดจากปัจจัยด้านการเจ็บป่วย ที่สร้างความไร้เสถียรภาพทางการเมืองขึ้นมาในทันที สร้างความไม่แน่นอนทางการเมืองให้เกิดขึ้น ต่างชาติที่มาลงทุนในไทย เมื่อเห็นความเสี่ยงทางการเมืองเช่นนี้ จึงถอนตัวออกไปรอให้ทุกอย่างชัดเจนก่อนดีกว่า
เราจะเห็นได้ว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้คือ การที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และนายทหาร ตทบ. 10 รุ่นเดียวกับ ท่านนายกฯทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งคนดังในวงการต่างๆ ทยอยเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะคนเรานี้พอจะคาดการณ์มองเห็นอนาคตทางการเมืองของไทยได้แล้วอย่างชัดเจน จึงไม่รีรอที่จะเข้าไปเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีฐานสนับสนุนจากคนเสื้อแดงอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ แม้ว่าจะมีอำนาจนอกระบบต่อต้าน แต่ความไร้เสถียรภาพอย่างรุนแรงในฝ่ายอำมาตย์ ทำให้คาดการณ์ได้ไม่ยากว่า พลังนอกระบบนั้น กำลังใกล้ถึงจุดอวสานในเวลาอันไม่นานเกินไปนัก
ปรากฏการณ์ที่สร้างความไม่พอใจให้กับคนเสื้อแดง อย่างสำคัญคือ การที่ พล.อ.เปรมให้สัมภาษณ์ ์ กล่าวถึงการที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ สมัครเขาเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยว่า "ระวังว่าจะเป็นการทรยศต่อชาติ" แม้ว่า พล.อ.เปรม จะแก้ตัวในภายหลังว่า ไม่ได้กล่าวหาว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ทรยศต่อชาติ แต่เป็นเพียงคำแนะนำเท่านั้น
ซึ่งแม้จะเป็นคำแนะนำ แต่คำกล่าวเช่นนี้ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่เป็นถึงประธานองคมนตรี ซึ่งมีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญว่า องคมนตรีต้องไม่ฝักใฝ่การเมือง จึงเป็นคำกล่าวที่ไม่เหมาะสม และทำตัวไมเป็นผู้ใหญ่ที่ควรให้การเคารพแต่อย่างใด สมควรประณามหรือต้องลาออกจากตำแหน่งองคมนตรีในทันที นี่ไม่ต้องพูดถึงข่าวต่างๆ ที่ พล.อ.เปรม เป็นคนอยู่เบื้องหลังวิกฤติการณ์ทางการเมืองครั้งนี้ และเป็น "ตัวแปรสำคัญ" ตัวแปรหนึ่งในการสร้างวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งนี้
ผมคิดว่า ตอนนี้ พล.อ.เปรม กับ กลุ่มอำมาตยาธิปไตยทั้งหลายกำลัง เคลื่อนไหวอย่าง "รน" เพราะความเจ็บป่วยของผู้มีบุญบารมี ทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองขึ้นมาอย่างรุนแรง แต่ก่อนกลุ่มอำมาตย์อาจยังไม่ได้ตระหนักถึงปัญหานี้มากมายนัก เพียงคิดว่าพวกตนกำจัดทักษิณออกไป และหากสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ประมาณ 5 ปี ก็จะสามารถทำลาย กระแสคนเสื้อแดงและความนิยมต่อทักษิณไปได้ โดยที่ "กำแพงหนุนหลังขนาดใหญ่ยังคงอยู่" เป็นตัวแปรสำคัญ
พวกเขาไม่ได้คิดว่า กำแพงที่มั่นคงนั้น เกิดสั่นไหวอย่างรุนแรง
สัญญาณเช่นนี้ แม้ว่าอาจยังไม่ถึงเวลา แผ่นดินไหว แต่ก็เริ่มมีแรงสั่นสะเทือน เป็นสัญญาณล่วงหน้าแล้ว ทำให้ "บริวารระดับถัดมาของ "อำมาตยาธิปไตย" ต้องคิดถึงอนาคตของตนเองในระยะเวลาไม่นานข้างหน้าว่า หากอีกห้าปีข้างหน้า พวกเขาจะยังกุมอำนาจความได้เปรียบทางการเมืองอยู่หรือไม่ หากเกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่ง หากพวกบริวารอำมาตย์ที่ประเมินการเมืออย่างไม่เข้าข้างตัวเอง จะรู้ได้โดยไม่ยากว่า พวกเขากำลัง "หมดอนาคต" พวกเขาไม่มีทางชนะสงครามครั้งนี้ และสถานะของคนเหล่านี้จะเสียเปรียบอย่างรุนแรงในอนาคต เพราะฐานเสียงจากประชาชนไม่มี กำแพงพิงหลังหายไป คนเหล่านี้ จึงสั่นไหวเกิดความ "จุดเปราะบาง" ในแนวรบที่จะส่งผลให้แนวรบพังทลายในอนาคตอย่างแน่นอน
เราจึงเริ่มเห็น แนวโน้มของการแปรพักตร์ หรือวางเฉย เกิดขึ้นอย่างของบริวารอำมาตย์เกิดขึ้น
การเคลื่อนไหวของ พล.อ.เปรม ในขณะนี้จึงดูเหมือน "รน" และต้องออกมาปะทะหน้าเอง
สำหรับแนวรบของคนเสื้อแดง หรือฝ่ายทักษิณนั้น ตอนนี้ "ไม่มีจุดอ่อนให้โจมตี" จนพ่ายแพ้ได้แล้ว การโจมตีอย่างรุนแรงในสงกรานต์เลือด ก็ไม่ทำให้ขบวนการคนเสื้อแดงสูญเสียกำลังหรืออ่อนแอลงไปแต่อย่างใด
ตามตำราพิชัยสงครามซุนหวู ขบวนการเสื้อแดง+ทักษิณอยู่ในสถานะ invincible หรือ สถานะที่ไม่อาจพิชิตได้แล้ว
ส่วนจะชนะอำมาตย์ได้หรือไม่อยู่กับเงื่อนไขของอำมาตย์ว่า จะมีจุดอ่อนเพียงพอที่จะทำให้ถูกพิชิตได้หรือไม่ หากมีจุดอ่อน ก็พิชิตได้ หากจุดอ่อนไม่มีหรือยังไม่เกิดขึ้น ก็ยังไม่อาจพิชิตได้
แต่ตอนนี้ "อำมาตย์ เกิดรอยร้าวหรือจุดอ่อนอย่างรุนแรงแล้ว การที่อำมาตย์จะเอาชนะเสื้อแดงได้นั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว แต่การถูกพิชิตนั้น "มีทางเป็นไปได้ ค่อนข้างมาก" อยู่ที่เงื่อนไขของเวลาเท่านั้น
ตอนนี้สำหรับฝ่ายอำมาตย์แล้ว ไม่มียุทธศาสตร์อะไรดีไปกว่าการเจรจาแล้ว
อยู่ที่ว่าจะเจรจาได้มากน้อยเพียงใด คุณทักษิณและขบวนการประชาธิปไตย "รอได้หรือไม่" เพราะยิ่งทอดเวลา ความได้เปรียบก็ยิ่งมีมากขึ้น
ดังนั้น คนเสื้อแดงหรือคุณทักษิณ จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปใจร้อน รีบเจรจา หรือหวังจะเผด็จศึกโดยเร็ว
แต่การโจมตีจุดอ่อนอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นสิ่งที่สมควรกระทำ
รอคอยวัน เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในแผ่นดินมาถึง แล้วค่อยเคลื่อนไหว ก็ยังไม่สายเกินไป
ปล. เรื่องสุขภาพนั้น มีข่าวลือต่างๆ นานา แต่น่าจะประมวลสรุปได้ว่า ไม่อาจกลับไปสู่สภาพเดิมได้แล้ว และครั้งนี้ หนัก จนสร้างความกังวลใจให้กับเหล่าอำมาตยาธิปไตยอย่างรุนแรง เราอาจไม่เห็นการปรากฏตัวต่อสาธารณชนไปอีกนาน