ที่มา Thai E-News
โดย คุณวาทตะวัน สุพรรณเภษัช
ที่มา เวบไซต์ vattavan
21 ตุลาคม 2552
........สามสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้เขียนบทความชื่อ “อภิแสบ ภักดีโพเดียม”...จงรักภักดีจริงๆ!?
ที่เขียนอย่างนั้น เพราะความเคลือบแคลงในความจงรักภักดีที่นายอภิแสบแสดงออกจากทางคำพูด แต่กลับทำให้คนเขาสงสัยเรื่องไม่นำนายทหารเข้าเฝ้า ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส นำนายทหารที่ได้รับพระราชทานเลื่อนยศเข้าเฝ้าเองแท้ๆ จนมีผู้คนนำความเข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีที่กองปราบปราม
การกระทำของนายกฯมุกควาย พูดง่ายๆ อย่างภาษาชาวบ้านก็คือ นายอภิแสบนัดในหลวงแล้ว... แต่ตัวกลับไม่ไปตามนัด!
นายกฯโลซกกลับเลือกที่จะไปแสดงปาฐกถาแทนการเข้าเฝ้าตามที่ตัวเองกราบบังคมทูลไว้ จนผู้คนเขาเห็นว่า การเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน สำคัญน้อยกว่าการไปปาฐกถา มีคนไทยที่ไหนเขาทำกัน!?
เลยโดนชาวบ้าน ไปแจ้งความอย่างที่ว่า!!
นอกจากนั้น ผมยังได้เล่าเรื่องความจงรักภักดีของตำรวจ และได้เล่าเกร็ดให้ฟังด้วยความชื่นใจ จึงขอนำมาเล่าซ้ำอีก เพราะความชื่นใจที่ยังไม่จางหายไปดังนี้
...ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จกลับพระราชวังไกลกังวล ทรงทอดพระเนตรเห็นตำรวจที่ยืนถวายความอารักขารายทางในกรุง พอพ้นเขตกรุงเทพมหานคร ก็ยืนกันเป็นแนวรายทางยาวทั้งสองฝั่ง ตั้งแต่สมุทรสาคร ไปถึงวังมะนาว ราชบุรี แล้วยังยืนเรียงรายต่อไป ผ่านเขาย้อย เข้าผ่านราชบุรี เลยชะอำเพชรบุรี เข้าเขตประจวบฯ ไปจนถึงพระราชวังไกลกังวล หัวหิน (การยืนแบบนี้ เรียกว่าการ “แซงเสด็จ” เพื่อให้ขบวนเสด็จพระราชดำเนิน มีความปลอดภัยตลอดทาง)
ทรงเห็นความจงรักภักดี และความตรากตรำ ที่ตำรวจเฝ้าอารักขาพระองค์เป็นระยะทางยาวไกล นับร้อยๆกิโลเมตร เมื่อเสด็จถึงที่ประทับแล้ว ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งกับ พล.ต.ท.อุกฤษณ์ ปัจฉิมสวัสดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ในตอนนั้น ว่า
“ขอบใจตำรวจ ที่ให้ใช้บริการส่งถึงบ้าน โดยปลอดภัย!”
เป็นความชื่นใจทั้งเป็นขวัญกำลังใจ ให้กับข้าราชการตำรวจทั้งมวลด้วย การกระทำใดที่พระมหากษัตริย์ทรงโสมนัสได้ ก็ย่อมทำให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินปลาบปลื้ม และเป็นมงคลยิ่งสำหรับบรรดาข้าราชการตำรวจ ที่เข้าร่วมในการปฏิบัติการด้วย
ท่านผู้อ่านทราบไหมครับว่า เวลาจะเสด็จพระราชดำเนินนั้น ตำรวจมีหน้าที่ “แซงเสด็จ” เพื่อถวายความอารักขานั้น คือการใช้ตำรวจยืนรายทางหันหลังให้ขบวนเสด็จ สายตาจับไปเบื้องหน้า ระแวดระวัง เพื่อถวายความอารักขาให้กับองค์พระประมุขของชาติ และการถวายความอารักขานี้ มีกำหนดไว้ในกฎหมายตำรวจว่า
“เป็นภารกิจสำคัญที่สุด เหนือกว่าภารกิจอื่นใด”
ในการเสด็จพระราชดำเนินจากกรุงเทพ ไปพระราชวังไกลกังวล ที่อำเภอหัวหินนั้น ต้องผ่านเส้นทางหลายจังหวัด หากขบวนเสด็จพระราชดำเนินออกจากกรุงเทพ ไปตามเส้นทางถนนพระราม 2 ระยะทางยาวประมาณ 200 กม.เศษ จากกรุงเทพผ่านสมุทรสาคร ราชบุรี เพชรบุรี และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อันเป็นที่ตั้งของพระราชวังไกลกังวล ใช้ตำรวจยืนรายทางแซงเสด็จจังหวัดที่เสด็จผ่านรวม 5 จังหวัด ประมาณ 2,000 นาย
ท่านผู้อ่านครับ! การรับเสด็จเช่นที่ว่ามา นอกจากเบี้ยเลี้ยงตำรวจแล้ว ค่าน้ำมัน ยานพาหนะต่างๆ ไม่ต้องเสียแต่อย่างใด เพราะเป็นการใช้ตำรวจในพื้นที่ การเคลื่อนย้ายก็อยู่ในระยะสั้น ไม่ต้องใช้ยานพาหนะทางอากาศ หรือเครื่องบิน
นี่คือขบวนเสด็จทางสถลมารค เป็นระยะทางไกลพอสมควร ของพระเจ้าแผ่นดินของเรา!
ผมว่าท่านผู้อ่าน คงได้เห็นภาพนายมาร์ค มุกควาย เยื้องกรายออกจากกรุงเทพ แค่ไปเยี่ยมยายไฮ ขันจันดา เพื่อเอาเงินที่รัฐจ่ายชดเชยไปให้เท่านั้น แทนที่จะให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนำเช็คไปมอบให้ ก็ไม่ได้ทำให้ยายไฮเสื่อมเกียรติแต่อย่างใด ประหยัดกว่ากันมากมายนัก
หรือถ้าอยากจะหาเสียงสักหน่อย ก็ทำเป็นวีดีโอลิงค์ไปคุยกับยายไฮ แล้วยิงเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศ โดยผ่านโทรทัศน์ วิทยุ ของทางราชการทุกช่องทาง ก็ทำได้ไม่ยาก ค่าใช้จ่ายน้อยนิด และอาจได้ผู้ชมมากกว่าด้วย
เรื่องกล้วยๆ อย่างนี้ คนอย่างนายอภิแสบ กลับคิดไม่ออก จนน่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น “เอ๋อ-ภิสิทธิ์” แทน ( “เอ๋อ” จริงๆ นะ!)
หรือแกจะคิดว่า การทำอย่างนั้นไม่สมเกียรติกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของสยามประเทศก็เป็นได้ ดังนั้น ยามประเทศกำลังยากจน ต้องกู้เงินเขามาฟื้นฟูเศรษฐกิจ หลายแสนล้านบาท คนในชาติ (ทั้งที่ตกงาน และที่ยังมีงานทำ) ต้องประหยัดกันตัวเป็นเกลียว แต่ประชาชนคนไทย กลับได้เห็นภาพการไปเยี่ยมยายไฮของนาย “เอ๋อ-ภิสิทธิ์” อึกทึกอลังการ ล้างผลาญงบประมาณไปเปล่าๆ ปลี้ๆ อย่างน่าตกใจ
เห็นแล้วนึกออกว่า ที่บรมกวีสุนทรภู่ท่านเขียนไว้ “อย่าเกี่ยวแฝกมุงป่าพาฉิบหาย” น่ะเป็นยังไง เป็นอย่างขบวน “ยาตรา” ของนาย “เอ๋อ-ภิสิทธิ์” นี่เอง!
การกระทำแบบ “เกี่ยวแฝกมุงป่า” ของนาย “เอ๋อ-ภิสิทธิ์” นี่ ชาวบ้านร้านช่องที่ไหนก็สังเกตเห็นกันทั้งนั้น เพราะผมได้ยินคลื่น Fm 101 ซึ่งดำเนินรายการตอนเย็นโดย คุณหว่อง หรือ พิสิษฐ์ กีรติการกุล รายงานเรื่องผู้คนเขาบ่นว่า เป็นการสิ้นเปลืองเงินหลวงไปหลายล้าน เป็นการใช้งบประมาณอย่างไม่สมเหตุผล
พอได้ยินอย่างนั้น ผมก็นึกอยู่ในใจว่า จะต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับการโปรโมทตัวเองของนายมุกควายครั้งนี้ มาสู่สายตาพี่น้องประชาชนกันบ้าง
ข้อมูลที่ได้มามีดังนี้ครับ
กำลังที่ใช้ในการคุ้มครองความปลอดภัยให้กับนายอภิแสบครั้งนี้ มีอยู่ด้วยกัน 3 ส่วนคือ ตำรวจ ทหาร และพลเรือน ซึ่งแยกค่าใช้จ่ายพอสังเขปได้ ดังนี้
1. ค่าใช้จ่ายฝ่ายตำรวจ
1.1 ค่าใช้จ่ายสำหรับกำลังตำรวจในพื้นที่ มีตำรวจเข้าร่วมปฏิบัติการ 4,700 นาย เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายประเภท ข. คนละ 500 บาท รวมเป็นเงิน 2,300,000 บาท (สองล้านสามแสนบาท)
1.2 ค่าใช้จ่ายสำหรับรถ 200 คัน ที่ใช้ในการส่งกำลังเพื่อกันฝูงชนที่เกลียดชัง และต่อต้านนายอภิแสบ คันละ 2,500 บาท รวม 500,000 บาท (ห้าแสนบาทถ้วน)
1.3 ค่าใช้จ่ายสำหรับ ฮ. (เฮลิคอปเตอร์ หรือเครื่องบินปีกหมุน)
- ฮ.แบบ 412 จำนวน 1 ลำ (4 ใบพัด) บินจากกองบินตำรวจกรุงเทพ ค่านำมันเชื้อเพลิง ชั่วโมงละ 70,000 บาท (เจ็ดหมื่นบาทถ้วน) ใช้เวลา 6 ชั่วโมงทำการ เงิน 420,000 บาท (สี่แสนสองหมื่นบาทถ้วน)
- ฮ.แบบ 212 จำนวน 2 ลำ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ชั่วโมง ละ 50,000 บาท เป็น ฮ.ในพื้นที่ จำนวนเงิน 150,000 บาท/ลำ รวมเป็นเงิน 300,000 บาท
รวมค่าใช้จ่ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3,520,000 บาท (สามล้านห้าแสนสองหมื่นบาทถ้วน)
2. ค่าใช้จ่ายหน่วยบิน ทบ.
2.1 เครื่องบินปีกติด 30 ที่นั่ง รับนายกฯ มุกควายและคณะ จากกรุงเทพ ค่านำมันเชื้อเพลิงชั่วโมงละ 150,000 บาท (หนึ่งแสนห้าหมื่นบาทถ้วน) ไปกลับรวม 300,000 บาท (สามแสนบาทถ้วน) รวมค่าสึกหรอด้วย ค่าใช้จ่ายรวม ประมาณ 400,000 (สี่แสนบาทถ้วน)
2.2 ค่าใช้จ่ายสำหรับ ฮ. (เฮลิคอปเตอร์ หรือเครื่องบินปีกหมุน) แบบ Black Hock 2 ลำ (บินจากฐานบิน จังหวัดลพบุรี) ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงชั่วโมงละ 70,000 บาท 6 ชั่วโมงทำการ/ลำ รวมเป็นเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 840,000 บาท (แปดแสนสี่หมื่นบาทถ้วน)
2.3 ค่าใช้จ่ายสำหรับ ฮ.แบบ 212 จำนวน 2 ลำ ในพื้นที่รวมเป็นเงิน จำนวนเงิน 150,000 บาท/ลำ รวมเป็นเงิน 300,000 บาท รวมเป็นจำนวนเงินค่าใช้จ่าย 1,540,000 บาท (หนึ่งล้านห้าแสนสี่หมื่นบาทถ้วน)
3. ค่าใช้จ่ายสำหรับกำลังในพื้นที่
ในการนี้ใช้กำลังทหารจากค่าย สรรพสิทธิ์ประสงค์ ผนวกกับกำลังของฝ่ายปกครอง เพื่อช่วยเหลืองานตำรวจ จำนวนทั้งสิ้น 5,000 นาย (ห้าพันนาย) เบี้ยเลี้ยงคนละ 500 บาท รวมเป็นเงิน 2,5000,000 บาท (สองล้านห้าแสนบาทถ้วน) รวมค่าใช้จ่ายสำหรับทหารตำรวจ และกองกำลังฝ่ายพลเรือน ในการอารักขา
สรุปแล้ว นายเอ๋อ-ภิสิทธิ์ ใช้งบประมาณประเทศในการเดินทางครั้งนี้ (อย่างน้อย) เป็นจำนวนเงิน 7,560,0000 บาท (เจ็ดล้านห้าแสนหกหมื่นบาทถ้วน)
นี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการเกณฑ์คนมาต้อนรับ และค่าใช้จ่ายของคณะนายกฯ อภิแสบ ที่เรายังไม่พูดถึงเลย สิริรวมไม่ต่ำกว่า 10,000,000 บาท (สิบล้านบาทเป็นอย่างน้อย)
เงินสิบล้านบาทของประเทศ กับการสร้างภาพของอภิแสบ!
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ ไม่อยากจะนำเรื่องค่าใช้จ่าย ในการไปต่างจังหวัดเพื่อสร้างภาพ ของนายอภิแสบ ไปเปรียบเทียบกับการเสด็จพระราชดำเนินข้าม 5 จังหวัด
แต่ความจริงที่ปรากฏ ทำให้คนไทยเราต้องตั้งคำถามว่า ทำไมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินผ่านพื้นที่ 5 จังหวัด แต่เงินหลวงที่ใช้ไปในการถวายการปลอดภัยกับไม่กี่แสนบาท ในขณะที่ขบวนนายกฯไป 3 จังหวัด แพงกว่าเป็น 10 เท่าตัว?
ทำไมนายกฯ กับรัฐบาลโลซกของเขา จึงใช้เงินงบประมาณไปอย่างสิ้นเปลืองไร้สาระอย่างนี้ ในยามที่บ้านเมืองของเรา ยังต้องดิ้นรนกู้หนี้ยืมสินเขาอยู่?
คำถามเหล่านี้ ประเดประดังเข้ามา
ผมอยากจะบอกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นั้น ประชาชนทั้งหลายในประเทศ มีความจงรักภักดีอย่างหาที่เปรียบมิได้ ดังนั้น การที่จะเสด็จพระราชดำเนินไป ณ แห่งหนตำบลใด ราษฎรในประเทศก็จะเป็นหูเป็นตา ระแวงระวังภยันตรายให้กับพระองค์ท่าน ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ผู้เป็นที่รักยิ่งของประชาชนคนไทย
แต่... เมื่อเราหันมามองนายอภิแสบ ที่พรรคตัวเองไม่ได้รับเสียงข้างมากจากประชาชน ให้มาเป็นรัฐบาลของพวกเขา หากเข้ามาสู่อำนาจได้ ก็เพราะเหตุผกผันทางการเมือง
ที่สำคัญคือ พรรคดักดานของเขาได้ร่วมมือกับพันธมารอย่างแนบแน่น ไม่ว่าจะเป็นการส่งสมาชิก และ ส.ส.ในพรรค เข้าร่วมในขบวนการการเข้ายึดสนามบิน อาคารสถานที่ของรัฐบาล เพราะหัวโจกใหญ่พันธมาร ก็ระบุชัดเจนว่า พรรคดักดานกับกลุ่มของเขา “เหมือน ‘ผัว-เมีย’ กัน!”
ดูเอาง่ายๆ อย่างนาย “สามสี” ที่กำลังจะเข้าสู่ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี แทนคนเก่ามีเรื่องคอรัปชั่นติดตัว ฟอกไม่ออก ต้องให้ลดชั้นจากรองนายกฯ ไปเป็นแค่เลขาธิการนายกฯ (เป็นการลดชั้น เหมือนกับผู้หญิงบางคน ที่คนเขาลือกันทั่วเมืองเหนือว่า “เคยเป็นเมียนายกฯ ต้องตกมาเป็นเมียนายดาบ!” ก็ไม่รู้ว่าเป็นเมียนายกฯอะไร นายก อบต.หรือ นายกสมาคมอาบอบนวด ที่ไหนกันแน่?)
นายไตรรงค์ฯ คนนี้แหละ ที่ขึ้นเวทีพันธมาร ระหว่างที่ไอ้พวกนั้นกำลังยึดทำเนียบอยู่ ตอนนี้ก็เลยได้ดิบได้ดี กลับเข้าไปในทำเนียบอีก คราวนี้เป็นถึง “รองนายกรัฐมนตรี”
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ พฤติกรรมของนายอภิแสบ และพรรคดักดาน สร้างกลุ่มต่อต้านขึ้นมาโดยธรรมชาติ ไม่ใช่เฉพาะคนเสื้อแดงเท่านั้น คนที่ไม่ใช่เสื้อแดง ที่ต่อต้านพรรคดักดาน เพราะพฤติกรรมน่าชัง ยังมีมากมายนัก...ในประเทศนี้!
ดังนั้น จึงไม่แปลกที่รัฐบาลของพรรคดักดาน ต้องป้องกันตัวอย่างเต็มที่ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่า ประชาชนส่วนใหญ่เขารังเกียจ แต่การทุ่มเทงบประมาณไปเพื่อการสร้างภาพ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ดีขึ้นอะไร อย่างมากก็แค่พูดถึงกันวันหรือสองวันเท่านั้น เพราะคนไทยลืมง่าย
แต่ที่คนไทยไม่ลืม คือการบริหารบ้านเมืองไร้ประสิทธิภาพ บ้านเมืองไม่มีความก้าวหน้า ทำให้ประชาชนคนไทยเดือดร้อน
ที่สำคัญที่สุดคือ การทุจริตคอรัปชั่น ที่แผ่ขยายวงกว้างออกไปทุกที ดังที่ผมได้กล่าวในตอนต้นว่า ทุกวันนี้ หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ ลงข่าวตรงกันหมด เรื่องการเป็นรัฐบาล “แดกได้-แดกดี” อย่างที่ผมเคยเขียนเล่าไว้
และไอ้คนพวกนี้มันก็ได้แสดงให้เห็น ชัดเจนว่า ไม่เกรงอกเกรงใจประชาชนคนไทย ในประเทศนี้เลย!
ผมลองเอาบัญชีค่าใช้จ่าย ในการไปหาเสียงของนายกฯโลซก โดยใช้ยายไฮเป็นตัวปั่นกระแส ให้เพื่อนสนิทนักวิจารณ์สังคมดูแล้ว เขาอ่านจบก็คำรามออกมาด้วยเสียงเข้มๆ ว่า “ไอ้เอี้ย... หากเห็นมันนั่งจิ้มลิ้มอยู่ตรงไหน อยากจะเข้าไปถามตรงๆ ว่า... อภิสิทธิ์!...เอ็งคิดว่า...ตัวเอ็งเป็นใครวะ!!?”
ผมฟังแล้ว เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์เลย!
นายอภิสิทธิ์ใหญ่มาแต่ไหนกัน จึงบังอาจใช้กำลังข้าราชการ และกำลังเงินงบประมาณก้อนใหญ่ ในการใช้กำลังคุ้มกัน เพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับตนเอง มากมายยิ่งกว่าที่ใช้ถวายการอารักขาในการรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว?
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณคิดว่าคุณเป็นใคร?”
“Abhisit Vejjajiva…Who do you think you are?”
ขึ้นโพเดียมตอบให้ประชาชนไทย รู้หน่อยซิ!!!