ที่มา thaifreenews
คอลัมน์ ผมเป็นข้าราษฎร
เรื่อง ปิศาจการเมือง
โดย จักรภพ เพ็ญแข
ขณะนี้มีเรื่องสนุกปากสนุกคอของสื่อมวลชนไทยอยู่ ๒ เรื่อง เวียนกันพูดไปมาแทบทุกวัน นั่นคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ๖ ประเด็นตามมติของคณะกรรมการสมานฉันท์ของรัฐสภา และการส่อทุจริตในโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาล
พูดกันเต็มปากอย่างไม่ต้องระมัดระวัง เพราะเกี่ยวกับคำว่า “สมานฉันท์” และ “ทุจริต” ซึ่งเป็นคำสองคำที่เดินตามแฟชั่นการเมืองไทยอย่างเหนียวแน่น
ใช้คำว่าแฟชั่นให้มันเก๋หน่อย ความจริงก็คือวัฒนธรรมการเมืองที่อำมาตย์ไทยสร้างขึ้นมาให้คนไทยนั่งปั้นวัวปั้นควายเล่นเพื่อ ไม่ให้มีเวลาถามว่าประชาธิปไตยแท้จริงอยู่ที่ไหน และใครเอาเท้าเหยียบไว้
ทั้งหมดนี้เรียกให้เป็นเรื่องเป็นราวได้ว่า การทำการเมืองและนักการเมืองให้เป็นปิศาจ (political demonization)
demon แปลว่า ปิศาจ และ to demonize เป็นคำกริยาที่แปลว่าการทำให้เป็นปิศาจ โครงการนี้ยาวนานและทำกันต่อเนื่องมาตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ โน่นแล้ว
ถามว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญกับการจับทุจริตเกี่ยวข้องอะไรกัน แล้วทำให้ใครเป็นปิศาจตรงไหน
มติของคณะกรรมการสมานฉันท์ที่มีคนของพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองทุกพรรค และสมาชิกรัฐสภาทั้งสองประเภทเข้าร่วม คือแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญของกลุ่มคนที่ไม่ต้องการทำงานใหญ่คือโครงสร้างการเมืองไทย แต่เอาเฉพาะเรื่องง่ายๆ ที่เป็นหนามตำใจนักเลือกตั้งอยู่
ประเด็นทั้ง ๖ ก็น่าแก้ไขอยู่หรอกครับ แต่ลืมไม่ได้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมิได้กระทำเพียงให้นักเลือกตั้งได้รับความเป็นธรรมขึ้นเท่านั้น แต่เพื่อให้ความเป็นเผด็จการทุกประเภทของบ้านเมืองหมดสิ้นลงหรืออย่างน้อยก็เจือจางไป
ถ้ายอมรับเพียง ๖ ข้อ และนำไปโฆษณาว่าทุกฝ่ายได้แก้ไขรัฐธรรมนูญตามสัญญาแล้ว ในที่สุดก็อาจจะไม่ได้หวนกลับมาแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่ลึก กว้าง และสำคัญกว่านั้น แล้วฝ่ายอำมาตย์ที่วางเกมกลเพื่อรักษาอำนาจของตนมาตลอดทาง โดยซ่อนไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่างๆ ก็จะกินได้นอนหลับต่อไป
ถ้าฝ่ายการเมืองไม่แสดงความกล้าหาญแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อทำลายอำนาจอันล้นพ้นและเหนือระบบของฝ่ายอำมาตย์ มวลชนที่เขาเป็นประชาธิปไตยแท้ ไม่สนใจนักว่าใครจะได้รับเลือกตั้งและเป็นรัฐบาล ก็จะเลิกร่วมมือกับฝ่ายการเมืองและเดินหน้าปฏิวัติการเมืองไทยต่อไปโดยไม่สนใจว่าจะนานกี่ปีกี่เดือน
ถึงวันนั้นนักการเมืองก็จะแบ่งชัดเจนระหว่าง นักเลือกตั้ง กับ นักประชาธิปไตย การต่อสู้ก็อาจไม่ต้องจำกัดอยู่ในรัฐสภา ถ้ารัฐสภาซึ่งเป็นตัวแทนที่ชอบธรรมของปวงชนชาวไทยผู้มีอำนาจสูงสุดทำตัวเป็นเพียงน้ำใต้ศอกอำมาตย์เขาอย่างนี้
การแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างแคบๆ เป็นความสำเร็จในการเกี้ยเซี้ยทางการเมืองก็จริง แต่คือชนวนนำไปสู่การเผชิญหน้าทางการเมืองที่แท้จริงต่อไป
ขอให้รู้ไว้เถิดครับ
อำมาตย์เขาเก่งอย่างนี้แหละ เขาโยนกระดูกชิ้นเล็กๆ มาให้ฝ่ายการเมืองแทะ เพื่อไม่ให้มองชิ้นใหญ่ในมือที่เขากำไว้แน่น แถมยังกระดิกหางดิ๊กๆ ซาบซึ้งตรึงใจ เพราะอยากได้ไอ้ชิ้นเล็กๆ มาแทะอีก
ฝ่ายการเมืองต้องปรับเสียใหม่ ใครสนใจแค่ ๖ ประเด็นก็สานงานต่อไปให้สำเร็จ ระหว่างนั้นนักประชาธิปไตยก็หลับตาเสียข้างหนึ่ง แต่พร้อมกันนั้นต้องเดินหน้าต่อไปในการแก้ไข (หรือร่างขึ้นใหม่) ในทุกประเด็นของรัฐธรรมนูญที่นำความเปลี่ยนแปลงอันแท้จริงมาให้ เพื่อให้ชัดเจนว่าจะไม่รับมรดกใดๆของฝ่ายเผด็จการอำมาตย์ไว้
อย่าเอาแค่ ๖ ประเด็นย่อยแล้วกลายเป็นปิศาจแทนคนที่เป็นปิศาจตัวจริงเลยครับ
การค้นหาทุจริตในรัฐบาลประชาธิปัตย์ก็เช่นกัน ไม่ว่าเป็นชุมชนพอเพียง การเช่ารถเมล์สี่หมื่นคัน โครงการไทยเข้มแข็งหรือโครงการอื่นใดก็ดี เป็นเรื่องดีที่น่าอนุโมทนายิ่ง ทำกันต่อไปเถิดครับ
แต่กรุณาดูด้วยว่าเขากำหนดเกมนี้มาเพื่อให้พรรคการเมืองแล่เนื้อเถือหนังกันเองด้วยความแค้นฝังหุ่น และฟาดฟันกันอย่างเลือดสาด จนเราทั้งหลายลืมตัวโกงที่แท้จริงของชาติที่โกงบ้านโกงเมืองมานานและเนียนที่สุดหรือไม่
คนโกงนั้นมีอยู่ในฝ่ายการเมืองมาก และต้องทำลายลงไป แต่คนโกงในคราบข้าราชการที่รวมตัวกันโกงเป็นเครือข่าย คนโกงที่เป็นนักธุรกิจระดับสูงที่ร่วมมือกับฝ่ายอำมาตย์ในการเอาเปรียบประเทศโดยไม่คืนกำไรใดๆ ให้ และคนโกงที่นั่งสง่าอยู่ในเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ คอยรับผลประโยชน์ (ส่วนแบ่ง) และปกป้องคนโกงตัวจริงเหล่านี้ เราจะทำอะไรกับเขาดี
ถ้าพรรคเพื่อไทยจะเอาแต่คนโกงในพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย หรือพรรคการเมืองอื่นๆ โดยไม่ก้าวให้ลึกไปถึงคนโกงในระบอบอำมาตยาธิปไตยเหล่านี้ด้วย ก็เท่ากับว่าจับปลาซิวและส่งเสียงดังให้คนทั้งหลายนึกว่าจับปลาสร้อยได้
แล้วไอ้ปลาสร้อยตัวเป็นๆ ที่ปล่อยไปนั่นล่ะครับ จะหวนกลับมาฆ่าพรรคเพื่อไทยและนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยต่อไปในอนาคต
ด้วยกลไกของรัฐธรรมนูญที่ตัวไม่ยอมแก้ให้สะเด็ดน้ำ
เห็นความเชื่อมโยงระหว่างการไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราที่ปกป้องระบอบอำมาตย์ กับการมุ่งจับทุจริตเฉพาะฝ่ายการเมืองด้วยกันหรือยังล่ะครับ
จักรพรรดิโรมันในยุคโบราณโปรดการจับทาสมาฆ่าฟันกันเล่นในโคลอสเซี่ยม หรือบางครั้งจับคนมาสู้กับเสือหรือสิงโต คนกับสัตว์ก็ฆ่ากันจนขาดใจตาย ถือเป็นความสนุกสนานยิ่ง
เมื่อตายหมดแล้ว จักรพรรดิก็จะเสด็จขึ้น ถึงเวลาก็เสด็จมาประทับอีก และเรียกหาคนใหม่ๆ มาตายตรงหน้า เป็นมหรสพตามพระราชอัธยาศัย
ระบอบจักรพรรดิโรมันอยู่มาได้หลายร้อยปีเพราะมีคนคอยเอาพระราชหฤทัยด้วยการหาคนกับสัตว์มากัดกันจนตายหน้าพระที่นั่งอย่างไม่ขาดสาย ไม่ต่างอะไรกับนักการเมืองที่ฆ่ากันเองเพื่อความเริงรมย์ของอำมาตย์
นักการเมืองเลวต้องกำจัด แต่อย่ากำจัดเพียงเพื่อให้คนที่เลวกว่าอยู่ต่อไปได้
บางคนในฝ่ายเลือกตั้งเป็นสัมภเวสีหรือวิญญาณเร่ร่อนคอยหาประโยชน์จริง แต่เขาก็มีขาใหญ่ทางวิญญาณคอยคุ้มครองอยู่
สูงขึ้นไปนั่นแหละครับ...ปิศาจตัวจริง.
---------------------------------