WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, October 20, 2009

ถึงเวลาป๋า ทำอะไรสักอย่าง

ที่มา บางกอกทูเดย์

จริงๆ แล้วหากทุกฝ่าย ล้วนรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อย่างที่พูดกันแล้วจริงๆ ต้องเลิกที่จะมองกันในแง่มุมของอคติบังตาแต่ควรจะต้องหาทางไกล่เกลี่ย และแก้ไขปัญหาซึ่งผู้มีบารมีที่หากจะทำแล้วไม่ได้ยากเย็นในการไกล่เกลี่ยเลย ก็คือ พล.อ.เปรมนั่นเอง ที่หากลงมือไกล่เกลี่ยให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้นกับทุกฝ่ายแล้ว ทำได้ไม่ยากแน่นอน

เพราะฤกษ์ผานาทีในการตั้งกรุงเทพมหานครเป็นราชธานี รวมทั้งฤกษ์ในการตั้งศาลหลักเมือง ถูกกำหนดให้อิงความสำคัญไปที่ “ทหาร” ตลอดระยะเวลาที่ล้มลุกคลุกคลานของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข นับตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมาชะตากรรมของนักการเมืองไทยจึงต้องมีบรรดา “นายทหารใหญ่” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยตลอดหากจังหวะใดที่นายทหารใหญ่เข้าใจในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นนายทหารประชาธิปไตย บรรยากาศการเมืองก็จะเริงร่าสดใสแต่หากอยู่ในช่วงของนายทหารใหญ่ที่ยึดติดกับ “อำนาจ” และเชื่อมั่นว่าอำนาจในมือเป็นศูนย์กลางของการควบคุมกลไกทางการเมือง นักการเมืองในยุคนั้นก็ต้องจ๋อยไปตามระเบียบมาวันนี้วังวนของทหารและนักการเมือง ยังคงเป็นกงเกวียนกำเกวียนย่ำรอยมากว่า 4 ปี นับจากการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมาบ้านเมืองที่ยุ่งเหยิงทุกวันนี้ บรรดานายทหารใหญ่ โดยเฉพาะนายทหารคณะมนตรีแห่งชาติ หรือ คมช. ภายใต้การนำของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ปัญหายุ่งเหยิงในทุกวันนี้ระหว่างนักการเมือง ทหาร นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และแม้แต่กระทั่งอำมาตยาธิปไตย ล้วนแล้วแต่ปะทุขึ้นมาขัดแย้งกันอย่างหนักหลังรัฐประหารของ คมช.ทั้งสิ้นขนาดว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งจำเป็นต้องกลับมาทำงานการเมือง เดินหน้าเข้าพรรคเพื่อไทย หวังช่วยแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมือง ยังเจอแรงกระเพื่อมเพราะพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้ออกมาพูดว่า ให้ระวังเรื่องการทรยศต่อชาติ เล่นเอาบิ๊กจิ๋วถึงกับงงเต็ก แค่เข้ามาเป็นประธานพรรคเพื่อไทย จะมองไกลไปถึงเรื่องขนาดทรยศต่อชาติได้อย่างไรคนละเรื่องเดียวกันเลย

แต่ พล.อ.ชวลิต ก็น้อมรับคำพูดอย่างสุภาพและโดยสงบ“ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว ท่านไม่มีอะไร เราจำเป็นจะต้องรับฟังผู้หลักผู้ใหญ่ ท่านอบรมสั่งสอนก็จะต้องรับฟัง เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่เป็นห่วง การที่แสดงความเป็นห่วงออกมาด้วยวาจา ที่ค่อนข้างจะสะท้อนถึงจิตใจที่เป็นห่วงมากก็จะต้องเข้าใจอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าท่านจะมาว่าเรา ทั้งนี้เมื่อท่านพูดหนักๆ พูดแรงๆ แสดงว่าท่านห่วงเรามาก ท่านยิ่งพูดหนัก พูดแรง แสดงว่าท่านยิ่งห่วงใยเรา”พล.อ.ชวลิต ยืนยันว่าไม่รู้สึกเจ็บปวดที่ถูกกล่าวหาว่าทรยศต่อชาติ เพราะไม่ได้ทำอะไรเลย พล.อ.เปรม เป็นคนที่เสียสละทำงานให้กับบ้านเมืองมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน จนถึงวันนี้อายุจนจะ 90 ปีแล้ว ท่านยังไม่ทิ้ง และตนยังไม่ถึง 80 ปี จะทิ้งได้อย่างไร ดังนั้นจะต้องทำงานให้กับบ้านกับเมือง และเมื่อ พล.อ.ชวลิต ตัดสินใจเดินหน้ากลับมาทำงานการเมือง เพราะทิ้งบ้านทิ้งเมืองไม่ได้ จึงทำให้นายทหารใหญ่หลายๆ คนพากันขยับมาทำงานการเมืองเคียงคู่ไปกับ พล.อ.ชวลิตด้วยทำไปทำมา พรรคเพื่อไทย ซึ่งพรรคการเมืองขั้วตรงข้ามอย่างพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับพรรคการเมืองใหม่ๆ ที่เกิดจากก๊วนการเมืองต่างๆ เคยเชื่อ เคยปรามาสว่าเจอมือขยันมาช่วยขยี้รอบด้านแบบนี้... อยู่ยากแน่... เสร็จแน่โดยเฉพาะเมื่อ คมช.ซึ่งเป็นสายพันธุ์ทหารใหญ่ ประกาศลั่นว่าจะใช้แผน 4 ขั้นสลายให้สิ้นซากให้ได้ ดังนั้นเมื่อมีกลุ่มนายทหารปรปักษ์ จะอยู่รอดได้ก็คงเก่งเกินไปแล้ว... ขืนรอดก็เสียหน้าอดีตนายทหารใหญ่หลายคนที่ตั้งใจ “ขยี้”หมดแต่มาวันนี้ พรรคเพื่อไทยกลับไม่เพียงไม่เดี้ยง ไม่ทรุดอย่างที่กลุ่มอำนาจบางกลุ่มต้องการ แต่หลังจากบิ๊กจิ๋วเข้าไปเป็นประธานพรรค ดันมี “นายทหาร” ตบเท้าเข้าไปตาม จนปาเข้าไปจะร่วมๆ 20-30 คนแล้วสนุกล่ะงานนี้เพราะบรรดานายทหาร ข้าราชการ หรือบุคคลที่เดินหน้าเข้ามาเติมเต็มในเวลานี้ ล้วนแล้วแต่มีความรู้ความสามารถที่จะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองรวมทั้งมีพรรคพวก เพื่อนฝูง รุ่นพี่รุ่นน้อง ทั้งในแวดวงสีเขียว สีกากี เต็มพรึ่ดไปหมด

ราศรีของพรรคเพื่อไทยในเวลานี้ จึงไม่ใช่เรื่องที่พรรคที่ถือกำเนิดจากก๊วนการเมืองจะอหังการ์ว่าจะทำให้สูญพันธุ์จากแผ่นดินอีสานได้นั้น... คงต้องกลับไปนอนก่ายหน้าผากทบทวนกลยุทธ์กันใหม่แล้ว แน่ไม่แน่ ก็เล่นเอา พล.อ.สนธิ คมช. ใหญ่ ต้องออกมาแก้ต่างว่าการที่ พล.อ.ชวลิต เข้าพรรคเพื่อไทย และ ในเร็วๆ นี้ ที่มีกระแสว่า นายทหารเตรียมรุ่น10 เพื่อนร่วมรุ่น ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีกหลายคน เตรียมแห่เข้าสมัครสมาชิกพรรคเพื่อไทย ด้วยนั้น จะไม่ทำให้กองทัพเกิดความแตกแยกหรือสูญเสียความเป็นปึกแผ่นไปแน่นอน เพราะนายทหารเหล่านั้น ส่วนใหญ่เกษียณอายุราชการไปแล้ว ย่อมมีอิสระในฐานะราษฎรเต็มขั้น ที่จะไปทำอะไรก็ได้ส่วนการที่ พล.อ.จิรเดช คชรัตน์ อดีตรองผู้บัญชาการทหารบก และ นายทหารผู้มีความใกล้ชิด กับ คมช. สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยนั้น ขอไม่ออกความเห็นเช่นเดียวกับพล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ อดีตสมาชิก คมช. ที่พูดเหมือนกันเป๊ะว่า กองทัพจะไม่เกิดปัญหาความไม่สามัคคีจากเรื่องดังกล่าวแน่ เพราะนายทหารเหล่านั้นออกจากราชการไปแล้วอดีต คมช. ใหญ่ พากันมองว่าเป็นเรื่องของนายทหารที่เกษียณแล้ว เช่นเดียวกับกลุ่ม คมช.นั่นเอง เพราะฉะนั้นทุกคนมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ ไม่ว่ากันซึ่งหากนายทหารทุกคน มีหัวใจประชาธิปไตยที่แท้จริง และรักชาติอย่างแท้จริงเท่ากันทุกคนก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีกับประเทศชาติเป็นอย่างมาก เพราะปัญหาวาระซ่อนเร้นนับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน จะได้หมดสิ้นไปเสียทีแผนบันใด 4 ขั้น ลับ ลวง พราง ที่เป็นต้นตอของปัญหาความแตกแยกของบ้านเมืองในเวลานี้ จะได้จบเห่ไปเสียที บ้านเมืองจะได้กลับมาเดินหน้าได้อีกครั้งเพราะตราบใดก็ตามที่ “อคติ” ยังคงมีอยู่ในกลุ่มบุคลที่กุมกลไกอำนาจ แล้วยังมองเห็นว่า พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายตรงข้าม ปัญหาก็คงไม่มีทางจบ เนื่องจากนับวัน กลุ่มประชาชนที่เข้ามาร่วมทวงคืนประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นขยายวงมากขึ้นเรื่อยๆ แบบ non stop ตรงนี้แหละที่กลุ่มทหารขั้ว คมช. และกลุ่มอำมาตยาธิปไตย จะทำอย่างไร

ก็ขนาดมุมมองของ พล.อ.เปรม ที่พูดถึงพรรคเพื่อไทย ทางพรรคเพื่อไทยยังอดที่จะเกิดความรู้สึกไม่ได้ ซึ่งนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้ออกแถลงการณ์โดยมีเนื้อหา ถึงการให้สัมภาษณ์ของพล.อ.เปรมเป็นการดูถูกเหยียดหยามพรรคเพื่อไทย ทำให้พรรคเสียหายเพราะเหมือนเป็นการสื่อความหมายว่าหากใครเข้าพรรคเพื่อไทยจะเป็นคนทรยศต่อชาติ อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าเป็นพรรคการเมืองที่ชั่วร้าย มีนโยบายเป้าหมายทำลายประเทศ ทั้งที่เป็นพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีนโยบายรักษาระบอบประชาธิปไตย จงรักภักดีต่อสถานบัน จึงรู้สึกเสียใจอย่างมากที่พล.อ.เปรมออกมาพูดเช่นนี้กรณีที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ทั้งในส่วนของอดีตทหารขั้ว คมช. กับอดีตทหารที่ตบเท้าพรรคเพื่อไทย และอดีตนายทหารระดับรัฐบุรุษอย่าง พล.อ.เปรม ยังสะท้อนถึงความแตกต่างทางมุมมอง ที่พร้อมจะทำให้การแก้ไขปัญหาของประเทศชาติไม่ง่ายจริงๆ แล้วหากทุกฝ่าย ล้วนรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อย่างที่พูดกันแล้วจริงๆ ต้องเลิกที่จะมองกันในแง่มุมของอคติบังตาแต่ควรจะต้องหาทางไกล่เกลี่ย และแก้ไขปัญหาซึ่งคงหมายความว่า...ถึงเวลาที่ “พล.อ.เปรม” ควรจะต้องตัดสินใจทำอะไรซักอย่างเพื่อชาติ!!ซึ่งผู้มีบารมีที่หากจะทำแล้วไม่ได้ยากเย็นในการไกล่เกลี่ยเลย ก็คือ พล.อ.เปรมนั่นเอง ที่หากลงมือไกล่เกลี่ยให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้นกับทุกฝ่ายแล้ว ทำได้ไม่ยากแน่นอนจริงอยู่ว่า ด้วยบทบาทของประธานองคมนตรี ย่อมไม่มีหน้าที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ในภาวะที่บ้านเมืองประสบปัญหา จะด้วยเพราะเหตุผลใดๆ ก็ตาม ในเมื่อ พล.อ.เปรมยืนยันในความรักและเทิดทูนต่อ ชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอดการทำหน้าที่เพื่อแก้ไขปัญหาขณะนี้ คงไม่มีใครเหมาะสมไปกว่า พล.อ.เปรม กระมัง??ถ้า พล.อ.เปรม ยื่นมือเข้ามาลบล้างอคติที่เกิดขึ้นในแผ่นดินในเวลานี้ นี่แหละคือบทบาทของ “รัฐบุรุษที่แท้จริง” ที่ต้องทำให้ประเทศชาติก้าวไปข้างหน้า

ตท.9-10-บิ๊กขรก.เข้าเพื่อไทย
พรรคเพื่อไทยยังคงทยอยเปิดตัวสมาชิกใหม่อย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 16 ต.ค.) ได้เปิดตัวนายทหาร-นายตำรวจ-ข้าราชการระดับสูง โดยนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยแกนนำพรรค แถลงเปิดตัว พล.อ.จิรเดช คชรัตน์ อดีตรองผู้บัญชาการทหารบก นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 9 (ตท.9) พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 (ตท.10) รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนายวิเชียร รัตนพีระพงศ์ อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยทั้งหมดได้ร่วมแถลงข่าวการสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีแกนนำ และ ส.ส.พรรคให้การต้อนรับอย่างคึกคัก ด้วยการสวมเสื้อพรรคและมอบดอกไม้ให้สมาชิกใหม่พล.อ.จิรเดช เปิดเผยถึงสาเหตุที่ตัดสินใจมาทำงานการเมืองกับพรรคเพื่อไทยว่า เห็นว่านโยบายของพรรคทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี สามารถจับต้องได้ ประกอบกับมีเพื่อนสนิทที่อยู่พรรคเพื่อไทยชักชวน จึงตัดสินใจเข้ามาทำงานการเมือง และยืนยันว่าไม่ใช่การกลับขั้ว จากที่เคยอยู่ในคณะปฏิวัติในเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 เพราะช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเพียงแม่ทัพน้อย ที่มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเท่านั้น