ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวผู้เสียชีวิต จากเหตุการณ์วันมิคสัญญีเมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่บริเวณถนนราชดำเนิน ทำให้มีผู้เสียชีวิต ทั้งทหารและพลเรือนเป็นจำนวนถึง 24 คนและบาดเจ็บ 800 กว่าคน
คนไทยจำนวนมากคงไม่คาดคิดว่า ความแตกแยกครั้งใหญ่ในสังคมไทย ดูจะไม่มีทางออกใดๆ ไม่มีการเจรจาอีกต่อไป นอกจากการนองเลือดในคืนนั้น ซึ่งหลายคนบอกว่า นี้เป็นเพียงการเริ่มต้นของสงครามกลางเมืองหลวง หากไม่มีการแก้ไขสถานการณ์ใด ๆ
พ่อแม่ ลูกเมียและครอบครัวของผู้เสียชีวิตคงไม่อาจทำใจได้เลยว่า คืนนั้นที่คนรักออกไปปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง หรือไปชุมนุมตามความเชื่อของตน พวกเขาจะไม่ได้กลับเข้าบ้านอีกไปตลอดกาล
คนไทยด้วยกันแท้ ๆ ทำไมโหดเหี้ยมกันขนาดนี้ ลากอาวุธสงครามมายิงถล่มกันกลางเมืองหลวง
คำพูดที่บอกว่า สันติวิธี มาตลอดของฝ่ายเสื้อแดงแท้จริงแล้วเป็นเพียงกลยุทธ์ประการหนึ่งในการทำศึกครั้งนี้ ไม่ว่าท่าทีอันก้าวร้าว การใช้คำพูดรุนแรง การคุกคามคนที่ไม่เห็นด้วย การละเมิดสิทธิของคนอื่น
ขณะที่ไม่มีใครเข้าใจได้ว่า เหตุใดฝ่ายรัฐบาลจึงต้องเดินหน้าสลายฝูงชนตอนค่ำแล้ว ทำไมไม่ถอนตัวออกไป ทั้ง ๆที่รู้ว่าสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียของทั้งสองฝ่าย และรู้ทั้งรู้จากหน่วยข่าวกรองว่า อาจจะมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายมาสร้างสถานการณ์ให้รุนแรงขึ้น แต่รัฐบาลก็ไม่ยอมให้ทหารถอนตัวออกไปจากความเสี่ยง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างน้อยก็สะท้อนให้เห็นว่า แกนนำของฝ่ายเสื้อแดงไม่ได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับประชาชนของเขาเลย ทุกคนอยู่สบายดี ไม่มีใครบาดเจ็บ ขณะที่ บรรดาแม่ทัพนายกองระดับนายพล นายพันได้ออกปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงตายกับลูกน้อง จนตัวเองต้องเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหลายคน
แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ ได้สะท้อนให้พวกเราเห็นว่า ความแตกแยกทางการเมืองและทางความคิดครั้งนี้ มันลึกลับซับซ้อน และมีตัวละคอนมากกว่าที่เรา ๆท่าน ๆ คิดกันจริง ๆ
คู่ความขัดแย้งไม่ได้มีเพียงรัฐบาล กับ ฝ่ายเสื้อแดง
การเรียกร้องประชาธิปไตย การเรียกร้องเรื่องสองมาตรฐาน การใช้วาทกรรมแยกประชาชนเป็นไพร่กับอำมาตย์ ก็ไม่ต่างอะไรจากภูเขาน้ำแข็ง ที่เรา ๆท่าน ๆ ต่างไม่รู้เลยว่า ข้างใต้ภูเขาน้ำแข็งคืออะไร ความต้องการจริง ๆของฝ่ายเสื้อแดงคืออะไรกันแน่
จนชักสงสัยว่าการเรียกร้องให้ยุบสภาของฝ่ายเสื้อแดง เป็นแค่ยุทธวิธี เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพื่อเป้าหมายอะไรที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ขณะที่เรา ๆท่าน ๆ ก็เริ่มรู้ชัดว่า รัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริงในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่มีอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็นคอยควบคุมอยู่ จนทำให้คุณอภิสิทธิ์ไม่ยอมซีเรียสกับการเจรจาเพื่อยุบสภาจริง ๆ
เหตุการณ์คืนวันที่ ๑๐ เมษายน ได้ ทำให้เราทราบว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นเรื่องของการแสวงหาอำนาจทางการเมืองของตัวละครหลายฝ่ายที่ยังไม่ปรากฏตัว ผสมโรงกับความขัดแย้งอำนาจของผู้นำในกองทัพ ซึ่งเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้วในสังคมไทย โดยทั้งสองฝ่ายมีประชาชนเป็นตัวประกันและผู้รับเคราะห์
เพียงแต่ว่าครั้งนี้เล่นกันแรงและโหดกว่าที่คิดด้วยฝีมือของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาอำนาจของตัวเองให้นานที่สุด ภายใต้คำพูดที่สวยหรูว่า "ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และการขอคืนพื้นที่" ขณะที่อีกฝ่ายก็ต้องการยึดอำนาจกลับคืนมา โดยแคมเปญทางการตลาดที่ได้ผลไปทั่วประเทศ คือ "สองมาตรฐาน" "ความไม่ยุติธรรมระหว่างไพร่กับอำมาตย์" ปลุกความไม่เท่าเทียมกันในสังคมขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็จุดมวลชนติดเมื่อนั้น
อำนาจทางการเมืองเป็นของหอมหวานสำหรับนักการเมืองทุกคน ซึ่งมาพร้อมกับผลประโยชน์มหาศาล ลองเสพแล้วยากที่จะถอนตัว บรรดานักการเมืองจึงมักจะดูดีเห็นอกเห็นใจประชาชนเสมอเมื่อครั้งเป็นฝ่ายค้าน แต่พอเป็นรัฐบาลทีไรก็ไม่เห็นหัวประชาชน
คืนนั้นผู้นำทั้งสองฝ่ายล้วนนำพาผู้คนออกไปตาย ทั้ง ๆที่ผู้นำทั้งสองฝ่ายรู้ทั้งรู้ว่าจะเกิดการสูญเสียแน่นอน แต่ดูเหมือนต่างฝ่ายยอมที่จะใช้คนระดับล่างเป็นเครื่องมือนำไปสู่อำนาจทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
เมื่อเกิดการสูญเสียกันขึ้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็หาหลักฐาน อ้างว่าอีกฝ่ายเป็นผู้สร้างความรุนแรง ซึ่งคงต้องรอให้ฝุ่นตลบให้เหตุการณ์ผ่านไปสักระยะเสียก่อน ความจริงจึงจะปรากฎได้ชัดเจนขึ้น
แต่ที่ดูไร้สาระไปกว่านั้นก็คือ แกนนำเสื้อแดงได้ยุติการชุมนุมบริเวณถนนราชดำเนินอย่างง่ายดาย ไม่ต่างจากการคืนพื้นที่ให้รัฐบาล ขณะที่เมื่อสองวันก่อนหน้านั้น ต่างฝ่ายต้องเสียชีวิตไปจำนวนมากเพื่อทำการปกป้องและยึดพื้นที่แห่งนี้
ชีวิตของผู้คนในสายตาของผู้มีอำนาจ มีค่าไม่ต่างจากหมากตัวหนึ่งในกระดานหมากรุก ฝ่ายหนึ่งต้องปกป้องเพื่ออุดมการณ์อันเร่าร้อน อีกฝ่ายต้องรุกคืบหน้าเพื่อชิงพื้นที่คืนตามหน้าที่ สุดท้ายเมื่อเกิดการสูญเสียขึ้นทั้งสองฝ่าย ความเคียดแค้น ความชิงชัง ความโกรธแค้นของคนที่อยู่ข้างหลังก็กระพือโหมขึ้นทันที จวนเจียนจะเกิดสงครามกลางเมือง
ผมเคยดูสารคดีสงครามกลางเมืองในประเทศราวันด้า ที่ผู้นำทางการเมืองของสองชนเผ่าคือเผ่าฮูตู กับ เผ่าตุ๊ดซี่ ต่างปลุกระดมมวลชนออกมาเข่นฆ่าประชาชนทั้งสองฝ่าย โดยใช้วิทยุกระจายเสียงเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่ทำให้ประชาชนเกิดความบ้าคลั่ง เคียดแค้นชิงชังอีกฝ่าย ผลก็คือประชาชนถูกฆ่าตายกันนับล้านคน แต่พอสงครามผ่านไปหลายปี คนทำสารคดีได้ไปสัมภาษณ์เหยื่อผู้รอดตาย และผู้เคยใช้มีดดาบไล่ฆ่าอีกฝ่ายอย่างเมามัน ความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายคือความเศร้า ความหดหู่ใจ และความรู้สึกผิดมหันต์กับสิ่งที่กระทำไปของฆาตกร
ทั้งสองฝ่ายยอมรับว่า ในช่วงเวลานั้น รู้สึกอย่างเดียวคือ เผ่าตัวเองต้องเป็นใหญ่ทางการเมือง ต้องล้างแค้นอีกฝ่ายหนึ่ง แต่หลังจากโศกนาฏกรรมผ่านไป พวกเขาไม่เคยสนใจกับสิ่งเหล่านี้อีกเลย ไม่สนใจเรื่องของเผ่าพันธุ์ หรือเรื่องทางการเมือง อีกต่อไป แต่กลายเป็นบาดแผลทางจิตใจที่ไม่สามารถเยียวยาไปได้ตลอด
หากย้อนเวลาได้ เขาอยากจะให้ทั้งสองเผ่าอยู่ร่วมกันได้ ไม่ต้องเข่นฆ่ากันตามอารมณ์บ้าคลั่งที่ถูกบรรดาแกนนำนักการเมืองปลุกระดมขึ้นมา
อุดมการณ์ทางการเมืองเป็นสิทธิ์ของทุกคนที่ต้องเคารพ แต่ต้องตระหนักให้ดีว่า
การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจ และอำนาจก็ไม่เข้าใครออกใคร นักการเมืองพร้อมที่จะหักหลังหรือผูกมิตรกับทุกฝ่ายได้เสมอ นักการเมืองไม่เคยคิดจะรักษาชีวิตของประชาชน มักใช้ประชาชนเป็นแค่ตัวประกันเพื่อไต่ไปสู่อำนาจเท่านั้น
การเมืองเป็นมายา แต่ชีวิตเป็นของจริงครับ
ชีวิตเป็นของมีค่ามาก ไม่เชื่อถามคนรอบข้างสิครับ