ที่มา ไทยรัฐ น้ำตาจระเข้ไม่ได้หลั่งง่ายๆ
โดยการออกตัวว่า "ซีเรียสนิดนึง" นายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว.แรงงาน สำทับรายงานข่าวเบื้องหลังที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 20 เมษายน ที่ใช้เวลานานกว่า 5 ชั่วโมง บรรยากาศเป็นไปอย่างเคร่งเครียด เมื่อ "เทพเทือก" นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรค เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาข้อเสนอพรรคร่วมรัฐบาลในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
พูดกันตรงๆเลยว่า ถ้ายุบสภาตอนนี้ก็ไม่พร้อม เพราะพรรคเพื่อไทยเหนือกว่า จึงต้องให้พรรคร่วมฯช่วย ซึ่งเขาก็พร้อมช่วย แต่เขาขอช่องหายใจ คือแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ก็เลยโดน "น้าญัติ" นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษา แท็กทีมกับ "น้าชวน" นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ตั้งท่าค้านหัวชนฝา
แตะเบรกหัวทิ่มหัวตำ
อัดกันแรงถึงขนาดที่ "น้าชวน" สอนมวยกันซึ่งๆหน้า "ที่ท่านสุเทพพูดเหมือนเป็นการข่มขู่ลูกพรรค โดยบอกว่าไม่พร้อมที่จะดูแลและสนับสนุนหากมีการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีแบบนี้ ไม่เคยทำอะไรเพื่อตัวเอง ดังนั้น ท่านต้องยึดหลักของพรรค และเรื่องใหญ่ตอนนี้คือเรื่องยุบพรรค ความจริงพรรคเองมีความชอบธรรมที่จะอยู่เป็นรัฐบาลได้มากกว่ามาต่อรอง 9
เดือนหรือ 6 เดือนด้วยซ้ำ ดังนั้น เรื่องแก้รัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องที่จะมาคุยกันวันนี้"
ในอารมณ์อัดอั้นตันใจ นักเลงอย่าง "เทพเทือก" ถึงกับน้ำตาซึม
ลุกขึ้นชี้แจงด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ขอพูดตอนที่ท่านอยู่ เพราะท่านประธานที่ปรึกษาพูดแบบนี้ไม่ถูก ผมต้องพูดเพื่อให้เข้าใจ ผมก็รักพรรค แต่เราก็ควรเปิดใจกว้าง ถ้าเราไม่มีน้ำใจให้กับคนอื่น คนอื่นจะมีน้ำใจให้เราได้อย่างไร ขอให้นึกถึงอกเขาอกเรา ถ้าเราไม่มีมติวันนี้ เราก็อยู่กับเขาไม่ได้แล้ว เพราะไม่มีอะไรจะไปคุยกับเขา อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
คนอย่างผมไม่เคยข่มขู่ใคร เป็นนักการเมืองอยู่ประชาธิปัตย์มา 30 กว่าปี ก็ไม่เคยหักหลังใคร พวกท่านอยู่สบาย ไม่เคยลำบากเหมือนผมกับท่านนายกฯ ที่ต้องถูกตามล่า ไม่รู้ว่าคนชุดดำจะออกมาเมื่อไหร่ วันนี้หน้าผมไม่เหลือแล้ว ขายไปหมดแล้ว และพรรคร่วมก็รอคำตอบอยู่ และเขาขอแค่ 2 มาตรา เราต้องมีมติอย่างใดอย่างหนึ่งไปให้เขา เพราะวิกฤติบ้านเมืองเราต้องระดมสรรพกำลัง ไม่ใช่ลอยไปลอยมา"
"ฉากที่ไม่ได้จัด" พรรคประชาธิปัตย์ซัดปากกันเอง
กลืนน้ำลายกลับลำแก้รัฐธรรมนูญ แลกกับการต่อลมหายใจเฮือกสุดท้าย
โดยสถานการณ์ที่เดินเข้าทางตัน กับบทโต้แบบ "กำปั้นทุบดิน" ย้อนให้ "บิ๊กจิ๋ว" พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 2 อดีตนายกรัฐมนตรี นำม็อบเสื้อแดงกลับบ้าน แล้วขอพระราชทานอภัยโทษ ดีกว่าบังอาจดึงเบื้องสูงลงมายุติปัญหาทางการเมือง
เรื่องของเรื่อง ถ้าไม่นับคิว "ย้อนคอหอย" ที่โดนนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ฟื้นความทรงจำสั้นๆเมื่อครั้งเกิดวิกฤติในยุคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คนเดียวกันนี้ ก็เคยออกหน้าขอนายกฯพระราชทาน ตามมาตรา 7 มาแล้ว
หรือจะแย้งว่า "มันคนละสถานการณ์"
มันก็ยังมีประโยคเด็ดที่ประชาธิปัตย์เคยดาหน้าถล่มอดีตรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่โดนม็อบเสื้อเหลืองกดดันหนัก
แค่ปัญหาของคนคนเดียว ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เสียสละ
จากวันนั้นเทียบสถานการณ์กับวันนี้ มวลชนคนเสื้อแดงไม่ใช่แค่เรือนหมื่นเรือนแสนที่เวทีแยกราชประสงค์ แต่ยังต้องนับรวมไปถึงแนวร่วมคนเสื้อแดงที่กระจายอยู่ทั่วทุกหัวระแหง
อย่างที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง คนยี่ห้อประชาธิปัตย์เอง ยังยอมรับกันซึ่งๆหน้า รัฐบาลบริหารพลาดจนปล่อยให้คนเสื้อแดงผุดขึ้นเต็มบ้านเต็มเมือง
เรื่องมาถึงตรงนี้ ถ้าบอกให้ถอนกองทัพเสื้อแดงกันง่ายๆ
ก็ต้องเจอคำถามเดียวกัน นายกฯอภิสิทธิ์ ในฐานะผู้นำประเทศ ที่ต้องรับผิดชอบมากกว่าประชาชนทั่วไป ทำไมไม่คิดเสียสละทางการเมือง
คนเดียวตัดสินใจง่ายกว่าเยอะ
โดยเฉพาะกับสถานการณ์ที่รู้อยู่เต็มอก "มันจะเปรอะกันไปใหญ่" กับมือที่เปื้อนเลือดไปแล้วตั้งแต่ค่ำคืนวันที่ 10 เมษายน โดยการประกาศของคนเสื้อแดงไม่ใช่แค่ยุบสภา ลาออก แต่ต้องออกนอกประเทศไทย
และเมื่อรู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจ ถ้าลุย "แลกเลือด" กันอีกรอบ "ต้องเพิ่มตัวเลขคนตาย"
หรือว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว "ทิ้งทวน" ก่อนจากไปเลย.
ทีมข่าวการเมือง