ที่มา บางกอกทูเดย์ แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ แค่เห็นกำลังทหารที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เห็นการล้อมลวดหนาม และรู้ว่าทหารได้รับอนุญาตให้ใช้กระสุนจริงได้ แม้ว่าจะเพื่อป้องกันตัวก็ตามนักท่องเที่ยวต่างชาติก็เผ่นกันกระเจิง ยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อน เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมใจกลางกรุงเทพฯ หนีไปโรงแรมชานเมือง หรือโรงแรมในต่างจังหวัดแทนเมื่อไม่มีแขกเหลือแล้ว โรงแรมจึงเลือกปิดกิจการชั่วคราว เพราะเปิดไปก็ไม่มีลูกค้า แถมหากเกิดกลุ่มผู้ชุมนุมแวะมาใช้บริการ ก็อาจจะถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนการชุมนุมก็ได้เพราะพื้นที่แยกราชประสงค์ เป็นพื้นที่ธุรกิจ และเป็นจุดที่ต่างชาติทั่วโลกให้ความสนใจ ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อ 10 เมษายน จนทำให้ เกิดการสูญเสียชีวิตของผู้ชุมนุม และของเจ้าหน้าที่ทหารยุทธศาสตร์การชุมนุมของแกนนำ นปช. จึงเปลี่ยนไป เป็นการมุ่งใช้ผลกระทบในเรื่องของเศรษฐกิจ และธุรกิจในย่านราชประสงค์เป็นแรงบีบสำคัญแน่นอนว่า สำหรับแกนนำ นปช. คือ การเพิ่มการกดดัน หวังให้รัฐบาลเลิกดื้อรั้น หรือเพิกเฉย รวมทั้งหวังว่าใจกลางกรุงเทพฯ จะไม่มีการสั่งสลายการชุมนุมให้ต้องมีคนเสียชีวิตอีกแต่ดูเหมือนว่าแรงกดดันนั้นนั้น แม้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะรับรู้ เพราะนอกจาก การชุมนุมจะกดดันแล้ว ภาคธุรกิจผู้ประกอบการเองก็มีการให้ข้อมูล เพื่อให้รัฐบาลเร่งหาทางออกโดยสันติวิธีโดยเร็วเสียทีปัญหาก็คือ ดูเหมือนกลุ่มคนรอบข้างนายอภิสิทธิ์ หรือ แก๊งเด็ก กลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงยึดมั่นถือมั่นในเรื่องของการมุ่งแต่เรื่องแพ้ – ชนะสอดรับกับความทิฐิของผู้นำรัฐบาล ที่มุ่งมั่นในเรื่องของการรักษากฎหมายที่ประกาศใช้เป็นกฎหมายพิเศษ คือ กฎหมายความมั่นคง และกฎหมายภาวะฉุกเฉินโดยยึดมั่นว่า เมื่อ ประกาศใช้แล้ว ต้องให้ได้ผลให้ได้วันนี้ลวดหนามจึงเต็มถนนสีลม วันนี้โรงแรมย่านราชประสงค์ สีลม จึงปิดกิจการชั่วคราวเพราะลำพังการชุมนุมตามวิถีทางประชาธิปไตย ฝรั่งต่างชาติอาจจะไม่กลัว ไม่วิตก เพราะประเทศไหนๆ ก็มีทั่วโลก แต่การสลายการชุมนุมจนมีคนเสียชีวิต มีภาพเผยแพร่ผ่านสื่อต่างประเทศไปทั่วโลก การส่งกำลังทหารเพิ่มจำนวนมากขึ้น และการขึงลวดหนามบนถนน และที่สำคัญที่สุด การที่ ศอ.ฉ. ประกาศให้ทหารสามารถใช้อาวุธจริงได้ ด้วย เหตุผลว่าเพื่อให้ทหารใช้ป้องกันตัวแม้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. จะออกมาย้ำกับนายทหารระดับผู้ปฏิบัติทุกนาย ว่า การจะใช้อาวุธปืนจริงทำได้ คือ การป้องกันตนเองในภาวะที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และการใช้อาวุธปืนจริงในลักษณะใดเป็นรายบุคคล เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด และหากจะใช้อาวุธต้องมีแบบแผนและลักษณะการใช้แบบเดียวกัน “กระสุนทุกนัดผมจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง ขอให้ทุกคนไม่ต้องกลัว หากจะต้องใช้อาวุธเพื่อป้องกันตนเอง แต่ต้อง ดำเนินการตามแผนที่ทำความเข้าใจและซักซ้อมกันไว้เช่นนี้” เป็นเสมือนการแสดงความรับผิดชอบเอาไว้ล่วงหน้าหากเกิดอะไรขึ้นแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ แค่เห็นกำลังทหารที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เห็นการล้อมลวดหนาม และรู้ว่าทหารได้รับอนุญาตให้ใช้กระสุนจริงได้ แม้ว่าจะเพื่อป้องกันตัวก็ตามนักท่องเที่ยวต่างชาติก็เผ่นกันกระเจิง ยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อน เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมใจกลางกรุงเทพฯ หนีไปโรงแรมชานเมือง หรือโรงแรมในต่างจังหวัด แทนเมื่อไม่มีแขกเหลือแล้ว โรงแรมจึงเลือกปิดกิจการชั่วคราว เพราะเปิดไปก็ไม่มีลูกค้า แถมหากเกิดกลุ่มผู้ชุมนุมแวะมาใช้บริการ ก็อาจจะถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนการชุมนุมก็ได้ปิดเสียเลยโล่งใจกว่าเยอะเลยกลายเป็นโอกาสดีของโรงแรมนอกเมือง อย่างเช่น โรงแรมโนโวเทล บางนา ตอนนี้ยอดเข้าพักพุ่งพรวด จนพนักงานโรงแรมบางคนบอกว่า หากการชุมนุมที่ราชประสงค์ยืดเยื้อ โรงแรมรอบนอกฟื้นแน่ผิดกับตอนที่ม็อบพันธมิตรฯ ยึดสุวรรณภูมิ ตอนนั้นโรงแรม รอบนอก โดยเฉพาะที่ใกล้สนามบิน สาหัสไปตามๆ กัน อย่างไรก็ตาม แม้จะโชคดีที่มียอดเข้าพักเพิ่มขึ้นมาก แต่ก็เห็นใจบรรดาพนักงานโรงแรมย่านราชประสงค์เป็นอย่างมากเช่นกัน จึงอยากจะให้มีการเจรจาให้จบๆ ไป โดยไม่อยากให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเอาแต่ทิฐิ จนการแก้ปัญหาไม่สำเร็จ ดังนั้น ปัญหาก็คือ รัฐบาลเห็นความเดือดร้อนของธุรกิจโรงแรมเป็นแรงกดดันต่อรัฐบาลหรือไม่ เพราะดูเหมือนนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังคงความ เชื่อมั่นสูง และเป็นแรงหนุนสำคัญในการให้ข้อมูลผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อนายอภิสิทธิ์ว่าไม่มีอะไรน่าห่วง ยังรับสถานการณ์ได้ หากจำเป็นก็จะใช้งบประมาณเข้ามาช่วยเหลือภาคธุรกิจ หรือรวมทั้ง นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยังคงยืนยันว่า สถานการณ์ท่องเที่ยวของไทยไม่ได้ถูกผลกระทบที่เลวร้ายมากเหมือนที่ภาคเอกชนออกมาให้ข้อมูลก่อนหน้านี้ เช่นการปิดแยกราชประสงค์ของกลุ่มคนเสื้อแดง มีภาคเอกชนออกมาระบุ ว่าทำให้เสียรายได้ด้านการท่องเที่ยวไปกว่า 10,000 ล้านบาท “หากจะมีผู้เดือนร้อนก็ล้วนเป็นมหาเศรษฐีทั้งนั้น เพราะมีแต่โรงแรม 5 ห้าดาวของเศรษฐีหากจะขาดทุนซัก 10,000 ล้านบาท ก็ไม่กระเทือนหรอก”นั่นคือ ข้อมูลที่รัฐบาลได้รับ และเชื่อมั่น จนทำให้ไม่ห่วงกับการยืดเยื้อและการเพิ่มกำลังทหารเข้ามาในพื้นที่ หรือแม้แต่กระทั่งการยินยอมให้มีการใช้อาวุธจริงได้เจอแบบนี้ภาคธุรกิจเอกชนก็พล่านไปหมด เพราะเหตุนี้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี จึงเป็นห่วงจนทนไม่ได้ ต้องมีการร่วมกันออก “แถลงการณ์สองอดีตนายกรัฐมนตรี” ลงวันที่ 19 เมษายน 2553 โดยแถลงการณ์มีเนื้อหาใจความว่า “ปัญหาของบ้านเมืองในขณะนี้เกิดจากความไม่เป็นประชาธิปไตย และการไม่มีความยุติธรรมในสังคม ความแตกแยกทางการเมืองมีแนวโน้มที่จะขยายลุกลามจนไม่อาจแก้ไขได้ ผมทั้งสองคนเห็นว่า ในระยะยาวนั้น เราไม่อาจแก้ไขปัญหาของ ประเทศได้ ถ้าเราไม่สร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงให้เกิดขึ้นในประเทศไทย และขจัดการเลือกปฏิบัติสองมาตรฐาน เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไป ผมทั้งสองขอเรียกร้องดังต่อไปนี้ 1. ต้องหยุดความรุนแรงและการสังหารประชาชนโดยทันที 2. รัฐบาลต้องประกันว่าจะต้องไม่มีคนไทยเสียชีวิตจากการชุมนุมทางการเมืองอีกแม้แต่คนเดียว 3. ต้องยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินโดยทันที ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิในการชุมนุมทางการเมืองตามปกติภายใต้ความคุ้มครองทาง กฎหมาย 4. ต้องยุติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารแต่เพียงฝ่ายเดียว เลิกปิดกั้นสื่อสารมวลชนและเลิกละเมิดสิทธิในการรับรู้ข่าวสารของประชาชนและ 5. ให้รัฐบาลคืนอำนาจให้ประชาชนเลือกรัฐบาลใหม่ โดยการยุบสภาทันที คนไทยทุกสีทุกคนมีควมห่วงใยในสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ และทุกคนทุกฝ่ายมีหน้าที่แก้ปัญหาร่วมกัน ผมทั้งสองคนเชื่อมั่นว่าเราจะหาทางออกให้กับประเทศได้ ถ้าเราตระหนักในรากเหง้าของปัญหา และร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงใจ และจริงจัง” เหตุผลก็คือ ถ้ามีการตัดสินใจให้ประชาชนเลือกของเขาเองทีเดียวก็จบ ถ้าผลเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนน 280 หรือ240 ตามที่ได้พูดเอาไว้ ทุกฝ่ายก็ต้องเต็มใจที่จะให้ ปชป.บริหารบ้านเมือง ในทางกลับกันหากพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกก็ต้องยอมรับ สิ่งนี้ถือว่าแฟร์ที่สุดที่สำคัญพล.อ.ชวลิต พูดชัดเจนว่า ในการเป็นสมาชิกเหรียญจุลจอมเกล้าฯ เหรียญรามาฯ ซึ่งน้อยคนนักที่จะได้รับพระราชทานหรือมีพระมหากรุณาธิคุณที่จะพระราชทานให้ จึงมีจิตใจที่ แน่วแน่ว่า ชีวิตถวายไว้เบื้องพระยุคลบาทในการปฏิบัติรับใช้พระเดชพระคุณนำเอาความสงบมาสู่บ้านเมือง“พระราชอาญาไม่พ้นเกล้าฯ ข้าพเจ้าขอรับทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้เหนือหัว หากสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเราในวันนี้นั่นก็คือ ขอรับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้กับพี่น้องคนไทยให้กับพวกเราด้วย กระผมผมคิดว่า ถ้าไม่มีพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว กระผมคิดว่าไม่แน่ใจต่อการสูญเสียภายใน 1-2 วันข้างหน้านี้ มันจะเป็นตราบาปหรือสิ่งที่พี่น้องคน ไทยไม่ต้องการที่จะเห็นในชีวิต หากมีสิ่งใดที่ผิดพลาดข้าพเจ้าขอน้อมรับแต่เพียงผู้เดียวนั่นคือสิ่งที่เราต้องการที่สุดในวันนี้” พล.อ.ชวลิตกล่าวไม่น่าเชื่อว่า การตีแผ่จิตใจลูกผู้ชายว่ามั่นคงต่อการจงรักภักดี กลับถูกบางคนเอาไปบิดเบือนว่า จะกระทำการระคายเบื้องพระยุคลบาทบ้าง เป็นการไม่บังควร ไม่มีวุฒิภาวะบ้าง ที่จะขอเข้าเฝ้าทูลละองงธุลีพระบาททั้งๆ ที่ พล.อ.ชวลิต พูดชัดเมื่อถูกถามว่า การขอพระกรุณาธิคุณจะอยู่ในรูปแบบการถวายฎีกาหรือไม่ พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า เราคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพูดวันนี้คงต้องถึงพระเนตร พระกรรณอย่างแน่นอนที่สุด ความเป็นจริงมีความพยายามของพวกเราที่จะไปกราบพระบาทด้วยตัวของพวกเราเองมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าได้ทราบว่าพระอาการยังไม่ค่อยดี แต่วันนี้ทราบว่าท่านทรงพระสำราญขึ้นแล้ว ก็อาจจะมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ซึ่งคงจะเป็นโชคอย่างที่สุดของคนไทยของเราและของประเทศชาติด้วยนั่นคือ รอคอย มิได้เป็นการคิดจะขอเข้าเฝ้าฯ อย่างที่มีการ ไปกล่าวหาเลยดังนั้น การพยายามแก้ปัญหา แล้วกลับกลายเป็นแรงกระเพื่อม รวมทั้งมีการไปพูดต่อผิดๆถูกๆ จึงทำให้เห็นชัดว่า น่าเป็นห่วง หากยังคงมีคนรอบข้างนายอภิสิทธิ์ คอยเลือกให้ข้อมูลครึ่งๆกลางๆ อยู่เช่นนี้แล้วการหาทางออกโดยสันติวิธีจะเกิดขึ้นได้อย่างไรดังนั้น บางกอก ทูเดย์ ยังคงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหาทางออกโดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นมาอีก จนทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจและธุรกิจอย่างที่วิตกกัน