ที่มา ข่าวสด
วันที่ 22 เม.ย. พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์เรื่อง สถาบันพระมหากษัตริย์กับการเมือง
ชี้แจงข้อวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมและกลุ่มบุคคลต่างๆ ต่อกรณีออกมาแถลงระบุว่าได้ติดต่อไปยังราชเลขาธิการพระราชวังเป็นการภายใน เพื่อขอเข้าเฝ้าฯ ขอพระมหากรุณาธิคุณยุติความขัดแย้ง มีใจความดังนี้
ผมขอย้ำว่ามีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ยิ่งชีวิต และไม่เห็นประชาธิปไตยในระบอบไหนที่จะดีสำหรับเมืองไทยเกินกว่าระบอบประชา ธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
สิ่งที่ผมเสนอขึ้นก่อผลสะเทือนออกไปอย่างกว้างขวาง ลึกซึ้ง สะท้อนภาพว่ามีความรู้ผิดหรือมีความไม่รู้ ซึ่งมีผลเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และประเทศชาติ ประชาชนอย่างร้ายแรง ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ได้เจตนา
จึงขอชี้แจงดังต่อไปนี้
1.ตามกฎหมายระหว่างประเทศได้รับรองสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นส่วนสำคัญของชาติไทย สถาบันพระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ และทรงเป็นจอมทัพไทย
2.สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงวางรากฐานประเทศด้านความมั่นคงและด้านประชาธิปไตย
3.สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ทรงใช้อำนาจผ่าน 3 ทาง คือทางคณะรัฐมนตรี รัฐสภา และศาล ตามรัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ.2550 มาตรา 3
ซึ่งตามธรรมชาติและข้อเท็จจริง สถาบันใดใช้อำนาจ สถาบันนั้นอยู่ในการเมือง
ดังนั้น เมื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยผ่าน 3 ทาง ดังที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ แสดงว่าพระมหากษัตริย์อยู่ในการเมือง ไม่ได้อยู่นอกการ เมืองหรือไม่ได้อยู่เหนือการเมือง
การกล่าวว่าสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่นอกการเมือง หรืออยู่เหนือการเมือง หรือไม่เกี่ยวกับการเมืองนั้น
เป็นการกล่าวที่ผิดหลักวิชารัฐศาสตร์ ผิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ผิดข้อเท็จจริง และการกล่าวเช่นนั้นเป็นการลิดรอนพระราชอำนาจ ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์โดยไม่รู้ตัว
4.ประเทศที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้นดีกว่าประเทศที่มีสถาบันอื่นเป็นประมุข
ประเทศไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขจึงสามารถรักษาเอกราชชาติบ้านเมืองให้รอดพ้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ จากภัยลัทธิล่าอาณานิคม ลัทธิคอมมิวนิสต์และภัยทุกชนิด
ดังนั้น ต้องพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้เป็นประมุขของประเทศไทยตลอดไป และต้องทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจอย่างสมบูรณ์ ตามหลักวิชาการเมืองการปกครองที่ถูกต้อง
5.สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยในฐานะประมุขแห่งรัฐมีคุณูปการต่อประชาชนอย่างยิ่ง
ยามใดประเทศไทยมีการปกครองในระบอบเผด็จ การ มีฝ่ายใดที่ได้อำนาจและใช้อำนาจจนก่อความเดือดร้อนเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชน
ท่านก็ทรงคานและคัดค้านการใช้อำนาจเผด็จการ ลดความรุนแรงเลวร้ายน้อยลง เช่น ทรงยุติวิกฤตชาติ ยุติการฆ่าฟันประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ และพฤษภาทมิฬ
6.สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงเป็นสถาบันแห่งความยุติธรรมทางการเมือง จึงทรงยุติความแตกแยกขัดแย้ง ฆ่าฟันกันทางการเมือง ขณะที่ไม่มีสถาบันใดจะยุติสถานการณ์ได้อีกต่อไปแล้ว
อย่างเช่นเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ทรงแสดงความเป็นสถาบันที่ทรงความยุติธรรมทางการเมือง ทรงรับสั่งให้ทั้งฝ่ายพล.อ.สุจินดา คราประยูร และฝ่ายพล.ต. จำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าฯ พร้อมกัน แล้วทรงตรัสให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันยุติวิกฤตการณ์ จึงสามารถยุติสถาน การณ์วิกฤตลงได้อย่างเบ็ดเสร็จ
7.ในอดีตพรรคประชาธิปัตย์เคยเรียกร้องรัฐบาลพระราชทาน ตามมาตรา 7 และพระองค์ท่านทรงตรัสว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 7 ไม่ได้บัญญัติไว้ให้อำนาจพระมหากษัตริย์ในการพระราชทานรัฐบาลพระราชทาน
การที่ผมขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณฯ พระบารมีปกเกล้าฯ ให้กับประชาชนทั้งประเทศ โดยที่ยังไม่ได้มีพระราชวินิจฉัยใดๆ ทั้งสิ้นว่าเป็นเช่นไร แล้วทำไมจึงออกมาวิจารณ์ผมก่อน
เป็นการละเมิดพระบรมราชวินิจฉัยและพระราชอำนาจหรือไม่
นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เคยเสนอจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติเมื่อครั้งซาวเสียงผู้ควรดำรงตำแหน่งนายกฯ พร้อมกับ นายสมัคร สุนทรเวช
แต่ต่อมาไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติตามพระราชดำรัส "รู้รักสามัคคี" และต่อมายังได้ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงว่าไม่ได้เคยเสนอรัฐบาลแห่งชาติ
ทำให้เห็นว่าท่านไม่มีจุดยืนเพื่อประโยชน์ชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง ถือเป็นสองมาตรฐานหรือไม่
8.การทรงรับฎีกาจากราษฎร ถือเป็นธรรมเนียมอันมีมายาวนานของพระมหากษัตริย์ไทย และการถวายฎีกาเป็นเสรีภาพของประชาราษฎรตลอดมาตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงจนถึงปัจจุบัน
เป็นสัมพันธภาพระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์และพสกนิกรของพระองค์
ดังนั้น การกล่าวหาต่างๆ และโจมตีผม นอกจากเป็นการลิดรอนพระราชอำนาจและทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว ยังทำลายหรือปิดกั้นธรรมเนียมฎีกาอันเก่าแก่ ดีงาม สูงส่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ และยังปิดกั้นเสรีภาพของพสกนิกรในการถวายฎีกาอย่างไม่ได้เจตนาหรือโดยไม่รู้ตัวหรือไม่ตั้งใจอีกด้วย
การขอพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลขอพระบารมีปกเกล้าฯ ต่อปวงชนชาวไทย มิให้ถูกเข่นฆ่าโดยทหารบางคนในกองทัพ โดยคำสั่งที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมของรัฐบาลนั้น
มิได้ตีตนไปก่อนไข้ แต่ทหารบางคนโดยคำสั่งของรัฐบาลได้เกิดการเข่นฆ่าประชาชนแล้วนับสิบศพ
ด้วยคำสั่งรัฐบาลที่ผิดนี้จึงเป็นเหตุให้ทหารเสียชีวิต 5-6 ศพ และบาดเจ็บกว่า 800 คน
ซึ่งขัดต่อพระปฐมบรมราชโองการ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" ในฐานะพระองค์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐและองค์รัฏฐาธิปัตย์และจอมทัพไทย ที่ทั้งรัฐบาลและทหารจะต้องขึ้นต่อพระองค์
เมื่อมีการบาดเจ็บล้มตายเสียเลือดเนื้อแล้วรัฐบาลยังไม่หยุด ยังจะเดินหน้าเข่นฆ่าปราบปรามประชาชนต่อไปอีก เพราะใช้มาตรการการปราบปราม ซึ่งเป็นมาตรการที่ผิด
คือแทนที่จะใช้มาตรการทางการเมืองเป็นหลัก พร้อมกับการใช้มาตรการปราบปรามและมาตรการทางกฎหมายเป็นมาตรการประกอบ
แต่รัฐบาลกลับใช้มาตรการกฎหมายและปราบปรามเป็นหลัก ไม่สนใจมาตรการการเมือง โดยสร้างประชาธิปไตยเป็นหลักในการแก้ปัญหาม็อบ อันเป็นปรากฏการณ์ของระบอบเผด็จการรัฐสภา เช่นเดียวกับนโยบาย 66/23 ที่แก้ปัญหาสงครามกลางเมืองสำเร็จในอดีต
เมื่อรัฐบาลสั่งให้ทหารปฏิบัติมาตรการแก้ปัญหาม็อบที่ผิดจนเกิดการบาดเจ็บล้มตายทั้ง 2 ฝ่าย รัฐบาลกลับไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น แต่เตรียมจะดำเนินการเข่นฆ่าประชาชนอีก
ผมจึงไม่มีทางเลือก เพราะเห็นว่าไม่มีสถาบันใดอีกแล้วที่จะหยุดยั้งได้นอกจากสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันที่ทรงความยุติธรรมทางการเมืองเพียงสถาบันเดียวเท่านั้น และจะต้องยุติยับยั้งให้ทันต่อสถานการณ์ก่อนจะสายเกินการณ์
จึงตัดสินใจขอพระบารมีปกเกล้าฯ ให้แก่ประชาชนอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงและไม่มีทางเลือกใดทั้งสิ้น
ใครคือผู้รับผิดชอบและใครกันแน่ที่ไม่รับผิดชอบ ใครผิดใครถูก ลองคิดดูด้วยจิตใจที่เที่ยงธรรมและมีคุณธรรม อย่ายึดแต่หลักนิติรัฐแต่ไม่มีหลักนิติธรรม หรือจงถือหลักธรรมเป็นอำนาจ อย่าถืออำนาจเป็นธรรม
ขอยืนยันว่าผมเป็นหัวหน้าขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ เพื่อต่อสู้เอาชนะขบวนการเผด็จการรัฐสภา เผด็จการรัฐ ประหาร และเผด็จการทุกชนิด
มิใช่หัวหน้าผู้ก่อการร้ายตามที่มีผู้ป้ายสีไว้แต่ประการใดทั้งสิ้น
เพื่อไทย
Friday, April 23, 2010
แถลงการณ์"จิ๋ว"-สถาบันกับการเมือง
รายงานพิเศษ