โดย กาหลิบ
สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศตื่นเต้นกันจนนั่งไม่ติดที่เมื่อรู้ว่าคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยาอดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกโค่นอำนาจด้วยการรัฐประหารเดินทางกลับถึงประเทศไทยในเวลา 09.40 น. ของวันอังคารที่ 8 มกราคม 2551
ไม่ได้ตื่นเต้นว่าผลการต่อสู้ในเชิงกฎหมายอันว่าด้วยข้อกล่าวหาเกี่ยวกับที่ดินถนนรัชดาภิเษกจะออกมาเป็นอย่างไร แต่น่าจะเป็นความรู้สึกต่อภาพรวมของการเมืองในขณะนี้มากกว่า
ประเด็นอยู่ตรงที่ว่าคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จะได้รับความเป็นธรรมและความยุติธรรมภายใต้เงามืดของระบอบเผด็จการหรือไม่
หลายคนถามว่าภรรยาอดีตนายกรัฐมนตรีจะเสี่ยงภัยไปทำไม ในเมื่อสิ่งบ่งชี้ต่างๆไม่ได้ทำให้เกิดความสบายใจเลยแม้แต่น้อยว่าประเทศไทยกำลังย้อนกลับไปสู่ครรลองที่ถูกต้อง นั่นคือความเป็นนิติรัฐและการใช้หลักนิติธรรม
การกลับบ้านของคุณหญิงพจมานในครั้งนี้จึงเป็นที่ถกเถียงกันว่าอะไรคือสิ่งที่อยู่ในใจของสุภาพสตรีที่กำลังเผชิญกับวิบากกรรมที่คนอื่นสร้างให้อย่างมากมายในขณะนี้
แต่ถ้ามองจากลำดับของเรื่องจนกระทั่งบัดนี้จะเห็นได้ว่าการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว อันเป็นบุคลิกประจำตัวของคุณหญิงพจมานได้สำแดงความเป็นผู้นำอย่างชัดเจนอีกครั้งหนึ่งให้เป็นที่ประจักษ์ทั้งในหมู่มิตรและศัตรู
นั่นก็คือกลับมาเพื่อพิสูจน์ว่าประเทศไทยตั้งอยู่บนครรลองใดแน่ ระหว่างความเป็นรัฐอารยะที่ประชาคมระหว่างประเทศจะให้ความเคารพนับถือได้ หรือเป็นรัฐอนารยะที่ไม่มีเหตุมีผล และกระทำการใดๆก็ตามตามแต่อารมณ์ของผู้มีอำนาจหลังม่านจะพาให้เป็นไป
เดิมพันก็หนักแน่นชัดเจน ถ้าคุณหญิงพจมานพิสูจน์ได้ว่าประเทศไทยนั้นยังคงมีเหตุผลหลงเหลืออยู่บ้างก็จะเดินหน้าไปสู่การพิจารณาพิพากษาคดีอย่างทระนงองอาจ แต่ถ้าหากเหตุผลได้หายลับดับสูญไปแล้วจากสังคมไทย คุณหญิงพจมานก็อาจจะกลายเป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดของความไม่ชอบธรรม และได้รับผลกระทบต่อตนเองทั้งในฐานะบุคคลผู้มีสิทธิตามกฎหมาย และในฐานะสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตยอย่างสาหัสสากรรจ์ได้ ความกล้าหาญที่จะใช้ตนเองเป็นเครื่องมือพิสูจน์นี้เองนับว่าเป็นความกล้าหาญที่เด็ดเดี่ยวและมีความเป็นผู้นำอย่างแท้จริง หนูทดลองยายังดีกว่าในกรณีนี้ เพราะการทดลองได้ดำเนินมาถึงระดับหนึ่งแล้ว ก่อนจะนำสิ่งมีชีวิตอย่างหนูเข้าไปเป็นเครื่องมือทดลอง แต่คุณหญิงพจมานกลับเมืองไทยโดยยังไม่มีสัญญาณใดๆเลยที่บอกว่าประเทศไทยกำลังจะได้สติและตื่นขึ้นจากความบ้าคลั่งที่นำมาซึ่งระบอบเผด็จการที่ผิดกาลเทศะ และผิดเวลาของโลกอย่างรุนแรง คนที่รู้สึกรักและผูกพันกับคุณหญิงพจมานควรต้องปลงใจให้ได้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางด้านประวัติศาสตร์และการพัฒนาในภาพกว้างของไทย อาจจะพอข่มใจได้บ้างในความหวั่นเกรงอันตรายต่างๆที่กลัวไปแทนคุณหญิงพจมานอยู่ในขณะนี้ ผู้นำต่างกับผู้ตามตรงที่ไม่สามารถรอให้ทุกคนปรับพฤติกรรมไปสู่ความถูกต้องได้ แต่ต้องแสดงตนเองเป็นตัวอย่าง และผลักดันให้เกิดการปรับพฤติกรรมไปสู่ความถูกต้องนั้นเอง ในทัศนะนี้คุณหญิงพจมานก็ทำหน้าที่เป็นผู้นำที่หลายคนจะต้องใช้กรณีของเธอเป็นเครื่องมือตัดสินว่าประเทศไทยขณะนี้อยู่ในจุดไหนอย่างไรของแผนที่ประชาธิปไตยของโลก
อยากจะได้ยินนักว่านักวิชาการและสื่อมวลชนที่ยังมีจิตสำนึกอยู่บ้างจะตีความเหตุการณ์นี้อย่างไร หรือจะเลือกมองมุมแคบในรายละเอียดปลีกย่อยเหมือนกับเด็กไม่รู้จักโต เพราะกลัวว่าจะพูดจาอะไรที่ไปขัดหูขัดตาเผด็จการทหารและ “อำนาจเดิม” เข้าให้ ประเทศไทยในขณะนี้เป็นที่จับตามองของประชาคมระหว่างประเทศว่าเลอะเทอะเปรอะเปื้อน เลยเถิดไปไกลถึงขั้นยุบพรรคพลังประชาชน และประกาศการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 เป็นโมฆะหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นเขาก็พร้อมจะสงเคราะห์ว่าประเทศไทยกำลังเดินทางไปสู่ความเป็นพม่า ของพรรค์นี้ถ้าไม่เดิมพันกันด้วยจิตใจที่เข้มแข็งเพื่อจะให้ความจริงปรากฏชัดต่อสาธารณชนแล้วก็คงจะเหมือนประเทศที่กลั้นใจอยู่ใต้น้ำ ไม่รู้จะขาดอากาศหายใจหรือว่าขาดใจตายเมื่อไหร่ ปล่อยให้เผด็จการและ “อำนาจเดิม” อยู่ในสภาพนั้นไปเพียงพวกเดียวเถอะครับ ประชาชนอย่างเราท่านโผล่พ้นน้ำขึ้นสัมผัสอากาศอันบริสุทธิ์สดใสจะดีกว่า การกลับมาของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จึงมีความสำคัญในเชิงสัญลักษณ์และการต่อสู้ในระยะยาวมากกว่าการเสนอข่าวในระยะสั้นครับ.
คอลัมน์ เลือกคบไม่เลือกข้าง
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 9 ฉบับที่ 2198 ประจำวัน พุธ ที่ 9 มกราคม 2008