ขมขื่น และเกรี้ยวกราด
คืออาการของ “พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล” รองผบ.ช.สันติบาล ที่ได้แสดงอารมณ์ออกมาตลอดการนั่งแถลงข่าว ที่สำนักงาน กกต. เมื่อเย็น 8 ม.ค.51“ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล” คือ “พระเอก” ในหนังเรื่อง“พิฆาตยงยุทธ ติยะไพรัช”“เนวิน ชิดชอบ” ขุนพลอีสานของ “ทักษิณ ชินวัตร”หมดน้ำยาไปแล้ว เมื่อคนของเขา ประกิจ พลเดช,รุ่งโรจน์ทองศรี, พรชัย ศรีสุรยันโยธิน โดน 3 ใบแดง ในเขตเลือกตั้งที่1 บุรีรัมย์ ซึ่งก็ดีอยู่บ้างที่ “ลูกพี่ลูกน้อง” ผู้มีชื่อว่า “ทรงศักดิ์ทองศรี” ที่เขามอบหมายให้เป็น “หัวหน้า” คณะผู้สมัคร ส.ส.อีสานของพรรคพลังประชาชน รอดตัว
กกต.ออกใบรับรองเป็นส.ส.เขต 2 บุรีรัมย์ ให้แล้วตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค.51ก็เหลืออยู่แต่ “ยงยุทธ ติยะไพรัช” ขุนพลเหนือ ของ“ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งบรรดาเซียนการเมืองทั้งหลายเชื่อว่าโดนแน่ ไม่เหลืองก็แดงเพราะว่าไปแล้วยงยุทธมีความสำคัญต่อทักษิณเหนือกว่าเนวิน เพราะยงยุทธ คือ “รองหัวหน้าพรรคคนที่1” และมีเสียงซุบซิบกันว่า หาก “สมัคร สุนทรเวช” มีอันเป็นไปเพราะผลจากคดีทั้งหลาย ก็ “ยงยุทธ ติยะไพรัช” คนนี้แหละที่ทักษิณวางตัวไว้ให้เป็น “นายกรัฐมนตรี”
คนไทยต้องติดตามข้อร้องเรียนที่ประเคนเข้าใส่ยงยุทธอย่างเกาะติดมาก เพราะไม่ใช่ยงยุทธเท่านั้นจะโดนแต่คดีหมายความว่าจะต้องเดินไปให้ถึงขั้น “ยุบพรรคพลังประชาชน” ให้จงได้ เพราะไม่เช่นนั้น การจัดตั้งรัฐบาลจะไม่ “พลิกขั้ว” มาเป็น “ประชาธิปัตย์ได้เป็นผู้จัดรัฐบาล”ดังที่ พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ ได้พูดแสดง “ความเชื่อลึกๆ”เอาไว้ตั้งแต่วันที่ 24 ธ.ค.50 หลังวันเลือกตั้งแค่วันเดียวโน้นแล้ว
“ยงยุทธ ติยะไพรัช” ถูกร้องเรียนว่า จัดกำนันผู้ใหญ่บ้าน จากเชียงราย มาพบที่โรงแรมเอสซีปาร์ค กรุงเทพฯ โดยใช้ “รถตู้” ของ “ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม”กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ที่เขาเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการเป็นยานพาหนะในการขน จากสนามบินสุวรรณภูมิ มาโรงแรมโดย หัวคะแนนของยงยุทธเป็นคนจ่ายค่าเครื่องบินทั้งไปกลับ และที่โรงแรม หัวคะแนนของยงยุทธมอบเงินให้กำนันผู้ใหญ่บ้านหัวละ 20,000 บาทและในระหว่างนี้ชื่อเสียงของ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รองผบ.ช.ส.ก็โด่งดังขึ้นมา เมื่อ “สมัคร สุนทรเวช” ยื่นหนังสือไปถึง “อภิชาต สุขัคคานนท์” ให้ถอดออกจากหน้าที่“ประธานคณะอนุกรรมการสืบสวนและสอบสวนกกต.” เพราะวางตัวไม่เป็นกลางรองชัยยะ เป็นผู้รับผิดชอบรวบรวมข้อมูลเชียงรายและจังหวัดอื่นๆ นับร้อยเรื่อง
ส่วนที่เราบอกว่า “ขมขื่นและเกรี้ยวกราด” คือ อารมณ์ของ พล.ต.ต.ชัยยะ ระหว่างแถลงข่าวที่ กกต.เมื่อเย็น 8ม.ค.ต่อคิวทันทีหลังจากที่ยงยุทธ จบการแถลงข่าวนั้นก็เพราะพล.ต.ต.ชัยยะ จวกแหลก กกต.ที่เรียกตัวเขามาทำงานอย่างด่วน ซึ่งก็มา โดยรับงานให้ก็เพื่อพยุงองค์กรกกต.เอาไว้ แต่กลับมากล่าวหาว่าไม่เป็นกลาง และไม่มีความรู้ในการสืบสวนสอบสวน เพียงเพราะกระดาษใบเดียวที่ “สมัคร สุนทรเวช” ยื่นเข้านั้น เป็นการไม่ถูกต้องพร้อมกับประกาศจะไม่ยอมลาออกจากหน้าที่“อนุกรรมการวินิจฉัยเรื่องร้องคัดค้าน” ของกกต.เด็ดขาดนอกจากนี้ ชัยยะ ยังปูดไปถึงเรื่องที่มี กกต.คนหนึ่งไม่ยอมคืนสำนวนสอบสวนคดีของยงยุทธ อันนำมาซึ่งข้อสงสัยว่า สำนวนรั่วไปถึงยงยุทธ จนสามารถแก้เกมได้ถูกเป้าอีกด้วยแต่การ “สาวไส้” กกต.ของ พล.ต.ต.ชัยยะ ก็เบาลงทันที
เช้า 9 ม.ค. “อภิชาต สุขัคคานนท์” บอกนักข่าวว่า พล.ต.ต.ชัยยะ “ถอนตัว” ออกไปแล้ว ถอนตัวออกไปเอง ไม่ใช่กกต.กดดันให้ออกและเชื่อว่าเมื่อถอนตัวออกไปแล้ว เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ น่าจะลดน้อยลง หรือหมดไปคำพูดของประธานกกต.นี้ ทำให้ พล.ต.ต.ชัยยะ เหลือตัวนิดเดียวหมดราคาทันทีแต่ว่าไปแล้วศึกที่ “ยงยุทธ ติยะไพรัช” โดนมันยิ่งใหญ่มาก เพราะ “อภิชาต สุขัคคานนท์” บอกกับนักข่าวว่า ได้แยก เป็น 2 ปมคือ ผิดส่วนตัว กับผิดโยงไปถึงการยุบพรรค ซึ่งหากกกต.เห็นว่า เมื่อยงยุทธเป็นกรรมการบริหารพรรค และความผิดที่เกิดขึ้นเกี่ยงโยงถึงพรรค และ กกต.เห็นว่าควรให้ยุบพรรคพลังประชาชน ก็จะส่งเรื่องให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน
บรรดา “คอการเมือง” ทั้งหลายเชื่อว่า พลังประชาชนโดนยุบเหมือนพรรคไทยรักไทยแน่นอนเพราะยังไง คมช.กับ “อีแอบ” ก็ไม่ยอมให้ พรรคพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาลแต่ “หมอเลี้ยบ” น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชนกลับมองไปอีกทาง โดยเชื่อว่า ยงยุทธไม่ผิด และพรรคไม่โดนยุบ แกนนำพรรคไม่วิตกเรื่องนี้ และในที่ประชุมแกนนำก็ไม่ได้ยกปมนี้มาพิจารณา มีการพูดแต่ถึงคดีที่ “ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์” ฟ้องเป็น “นอมินี”เสียมากกว่าร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง “ดอกเตอร์กฎหมาย” จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ก็เชื่อว่า ยงยุทธไม่โดนแต่ถ้าไปแปลคำพูดของ “อภิชาต สุขัคคานนท์” กับ“สดศรี สัตยธรรม” ที่ให้สัมภาษณ์เมื่อตอนเช้า 9 ม.ค.แล้ว จะเกิดความรู้สึกว่ายงยุทธโดนแน่พลังประชาชนยุบแน่“ขณะนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยกำลังสรุปข้อมูลที่ได้รับจากการชี้แจงของนายยงยุทธ และพยานที่นำเข้ามาสืบ หากข้อมูลพร้อมเมื่อใด ก็จะเสนอเข้ามายังกกต. ขณะนี้ กกต.ยังไม่ได้มีการพิจารณากรณีปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระบุว่า รถตู้ที่นายยงยุทธใช้เป็นรถของกระทรวงจริง โดยกกต.จะพิจารณาไปพร้อมกัน หากเป็นความผิดว่า ความผิดนั้นแป็นความผิดส่วนบุคคล หรือความผิดที่อาจเชื่อมถึงพรรคพลังประชาชนเพราะนายยงยุทธมีฐานะเป็นรองหัวหน้าพรรคกระทำ อาจส่งผลถึงขั้นยุบพรรคได้ เรื่องนี้ถูกรายงานเข้ามานานแล้ว จึงพอมองเห็นว่าอะไรเป็นอะไรและเชื่อมโยงไปถึงไหน รวมทั้งผ่านการพิจารณามาหลายครั้ง ส่วนที่นายยงยุทธแถลงว่า เรื่องทั้งหมดเป็นการจัดฉากนั้น ก็ถือเป็นความคิดของนายยงยุทธผมยืนยันว่ากกต.ต้องมีหลักฐานที่เพียงพอที่จะอธิบายต่อสังคมได้แน่นอน และหากกกต.มีมติให้ยุบพรรคพลังประชาชนจริง กกต.ต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจาณาต่อไป
“ถ้าหากกกต.มีมติให้ใบเหลืองนายยงยุทธ เรื่องนี้มีปัญหามาก เพราะไม่สามารถจัดเลือกตั้งใหม่ได้ และไม่สามารถเลื่อนลำดับถัดไปขึ้นมาแทนได้ ดังนั้น เราต้องคำนวนคะแนนกันใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยากพอสมควร เพราะถือว่าเป็นกรณีแรก อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุป”ประธานกกต.ร่ายยาวว่าไว้อย่างนี้ขณะที่ “เจ๊สด” ดุเดือดกว่า โดยกล่าวว่า“คาดว่าในวันที่ 11 ม.ค. กกต.จะสามารถพิจารณาและลงมติได้ว่า จะให้ใบเหลือง ใบแดง หรือยกคำร้อง ดังนั้นกกต.จะต้องแยกพิจารณาในความผิดส่วนตัวและความผิดในฐานะกรรมการบริหารพรรค สมมุติว่า หากการพิจารณาแล้วพบว่า นายยงยุทธได้ใบแดง กกต.จะตั้งคณะอนุกรรมการฯขึ้นมาอีกชุดหนึ่งเพื่อตรวจสอบว่า ความผิดจะโยงถึงพรรคหรือไม่ เช่นเดียวกับกรณีปลอมแปลงลายเซ็นของนายสิทธิชัยโควสุรัตน์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่นอกจากจะให้ดำเนินคดีอาญาแล้ว ยังได้ตั้งอนุกรรมการฯ ขึ้นมาดูว่าความผิดถึงผู้บริหารของพรรคพลังประชาชนหรือไม่ ทั้ง 2 เรื่องนี้ก็จะสอบสวนว่า ถึงขั้นยุบพรรคหรือไม่”“จากที่ได้ดูสำนวนจากฝ่ายสืบสวนสอบสวน วัตถุพยานและหลักฐานอื่น คิดว่าเพียงพอให้วินิจฉัยได้ ซึ่งขณะนี้ได้
ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวนของ กกต.ไปร่วมสอบปากคำร่วมกับคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของสันติบาล ในส่วนของพยานของนายยงยุทธ และเมื่อฝ่ายสืบสวนสรุปสำนวนเสร็จเรียบร้อยแล้ว กกต.ก็จะพิจารณารับฟังการสรุปของทั้งสองฝ่าย ซึ่งตรงนี้เราก็ต้องถามสันติบาลว่า จะยืนยันตามคำวินิจฉัยเดิมของตัวเองอยู่หรือไม่ เรื่องนี้ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว ส่วนตัวเท่าที่ได้ฟังนายยงยุทธชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ก็ยังไม่สามารถสรุปได้เนื่องจากต้องฟังการสอบปากคำพยานอีก 8 ปาก และจะพิจารณาอีกครั้งว่า กกต.จะมีมติอย่างไร”“การพิจารณาลงมติในเรื่องดังกล่าว ยอมรับว่ากฎหมายของ กกต.ยังมีช่องโหว่ เพราะเราไม่สามารถที่จะสั่งเลือกตั้งใหม่ได้ ดังนั้นเรื่องนี้หากสอบไปแล้วมีการกระทำ แต่ไม่เกี่ยวกับผู้สมัคร ทำให้ กกต.พิจารณา และลงมติไม่ได้ เราก็อาจจะยื่นให้กฤษฎีกาตีความ นอกจากนี้ในส่วนที่ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยืนยันว่านายยงยุทธได้ประสานขอรถตู้ไปใช้จริงนั้น หากท่านมีความพร้อมก็มาให้ข้อมูลได้”“ส่วนที่นายยงยุทธระบุว่า การทำสำนวนของตำรวจสันติบาลมีการจัดฉาก เรื่องนี้ต้องมีการพิสูจน์ว่า การที่กำนันเดินทางมาพบนายยงยุทธนั้น เหตุใดจึงได้นำรถตู้ของทางราชการมาใช้ มีข้อน่าสังเกตว่ารถหลวงเข้ามาเกี่ยวข้องในฉากนี้ได้อย่างไร”ถือว่า “เจ๊สด” พูดได้เจ็บและมองเห็นอนาคตของยงยุทธ กับพรรคพลังประชาชนชัดเจนยุบแหงๆ__เพราะ “บุญชอบ สุทธมนัสวงษ์” ผอ.ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรฯ ผู้รับผิดชอบ “รถตู้”ก็หาใช่ใครที่ไหน เป็นอำเภอแม่จัน บ้านเดียวกับยงยุทธ
นอกจากนี้ “เจ๊สด” ยังยืนยันด้วยว่า “ศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช” ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ จะมาเป็นพยานว่า ยงยุทธคือ คนขอใช้รถตู้ด้วยตัวเองฟังยังกับว่า พยานของตำรวจสันติบาลแน่นหนามากก็ไม่นึกว่าจะมาตกม้าตายอย่างง่ายพลิกด้วยคำว่าตำรวจสันติบาลทำซีดีล่องหนวันที่ 8 ม.ค.51 หลังจากที่เข้าให้การแก่เจ้าหน้าที่สอบสวนของกกต.4 ชั่วโมงแล้ว ยงยุทธ ได้ลงมาแถลงข่าวที่ชั้นล่างอาหารศรีจุลทรัพย์นั้นเลยเตรียมการแถลงมาดีมาก มีการทำชาร์ต แสดงแผนผังขั้นตอนต่างๆ ของการสืบสวบสอบสวนให้นักข่าวได้ทัศนาด้วยยงยุทธ ซัดโครมว่าทุกอย่างจัดฉากขึ้นมาเรื่องเกิดวันที่ 28 ต.ค.50 แต่เพิ่งร้องเรียน 21 ธ.ค.50เฉพาะอย่างยิ่ง ซีดี ที่ตำรวจสันติบาลอ้างประกอบสำนวนว่า แอบถ่ายขณะกำนันผู้ใหญ่บ้านขึ้นรถมาพบตนที่กรุงเทพฯ ก็เป็นการตัดต่อ ถ่ายมาจากคนละสถานที่แล้วเอามาตัดต่อเป็นเรื่องเดียวกันยงยุทธ ได้ขอดูหลักฐานต่างๆ โดย กกต.ก็รับปากจะให้ดูรวมทั้ง ดูซีดีของสันติบาลด้วย ในเวลา 15.00 น.วันที่ 9 ม.ค.
ยงยุทธ มาตามนัดพร้อมผู้เชี่ยวชาญ แล้วก็ขึ้นไปยังชั้น19 แป๊บเดียวก็กลับลงมา แล้วเปิดแถลงกับนักข่าวโดยมีการตั้งสแตนกางชาร์ตประกอบการแถลงข่าว เป็นครั้งที่ 2 โดยบอกนักข่าวว่านี่คือแผนใส่ร้าย“วันนี้ผมมากกต. เพื่อจะมาดูพยานหลักฐานการกล่าวหาผม โดยเฉพาะเรื่องซีดี ซึ่งผมได้ประกาศต่อเพื่อนส.ส.ที่พรรคพลังประชาชนว่า หากผมกระทำผิดในข้อหาแจกเงินแจกทอง ก็อย่าว่าแต่ให้ใบแดงเลย ให้ตัดคอผมได้เลย เพราะมันไม่จริงวันนี้ผมได้นำเจ้าหน้าที่ทางด้านเทคนิคการตัดต่อภาพมาด้วย และได้มีการนัดหมายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลที่ได้ไปถ่ายทำวิดีโอร่วมกับ จนท.ความมั่นคงบางฝ่าย นัดกันตั้งแต่เมื่อวาน ซึ่ง กกต. ก็ได้มีคำสั่งให้สันติบาลเอาวีซีดีมาให้ผมดูในฐานะผู้ถูกกล่าวหา แต่ปรากฏว่ามาถึงวันนี้ซีดีล่องหน สันติบาลยังไม่นำวีซีดีมาให้กกต.ทั้งที่ถือเป็นคำสั่งของกกต. แต่กลับมีการเก็บไว้กับตัวเองถือเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะมีการตั้งข้อกล่าวหาแล้ว แต่พยานหลักฐานก็ควรพร้อมด้วยต้องขอขอบคุณ กกต. ที่ให้ความเป็นธรรม และให้ความชัดเจนว่า ถ้าชี้แจงไม่เสร็จ พยานไม่ครบ จะไม่ตัดสินซึ่งถือว่าท่านมีความยุติธรรม โดยกกต.บอกผมว่า จะแจ้งให้ผมมาดูวีซีดีอีกครั้งในกระบวนการรวบรวมหลักฐานมีการบิดเบือน และข่มขู่ด้วยการร่างคำให้การไว้แล้วนำมา
ให้ประชาชนเซ็นยอมรับว่ามีการรับเงินจากผม ซึ่งบางคนบอกว่ามากเกินไป และรับไม่ได้ผมขอท้าให้ไปถามประชาชนในพื้นที่ไม่มีใครเชื่อว่า ตนจะทำเช่นนั้นส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าสำนวนดังกล่าวรั่วทำให้ผมสามารถรู้รายละเอียดสำนวนได้นั้น มันน่าแปลกที่คนรู้เรื่องเอกสารแทนที่จะเป็นผม กลับเป็นนายถาวร เสน
เนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นผู้ออกมาระบุว่าเอกสารรั่ว ทำให้ผมได้ประโยชน์ ขอยืนยันผมไม่เคยเห็นสำนวนตามที่มีการกล่าวอ้าง”จากนั้นนายยงยุทธ ได้โชว์ชาร์ตกระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้น โดยกล่าวอธิบายประกอบว่า“ผมจะได้ใบอะไรก็ไม่เป็นไร แต่จะชี้แจงให้สังคมได้รู้ขบวนการ โดยผู้บงการคนนี้ เคยบงการยิงถล่ม สำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ด้วย เอ็ม 79 สมัยอภิปรายเรื่องสปก.ซึ่งเขาเอาเงินมาจ่าย 2 เรื่อง เป็นงบที่สร้างความชอบธรรมให้รัฐบาล และจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่สันติบาล 35 ล้าน อันนี้เป็นการจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยง เพราะเขาโอดครวญว่าเบี้ยเลี้ยงที่จ่ายไปนั้นไม่พอเพียง ก็มีการจ่ายเงินจ่ายทองไป เสร็จเรียบร้อยก็มีกระบวนการ พล.ต.ท.ที่ชอบอุ้มฆ่า ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่ปาระเบิดหนังสือพิมพ์ข่าวสดสมัยที่ลูกพี่โดนอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นผู้รับงานและมีขบวนการสอบสวนโดย พล.ต.ท.ช. และพ.อ.พิเศษ...
ที่กดดันกำนันผู้ใหญ่บ้าน เพื่อให้ร่วมกับเขา ถ้าไม่ร่วมก็จะถูกตรวจค้นบ้านโดยนายชัยวัฒน์ ซึ่งเป็นคนติดติดยาและอยู่ซุ้มมือปืน จะโทรศัพท์หากำนันผู้ใหญ่บ้านให้มา ถ้าใครไม่มาก็จะกดดัน และถูกตรวจค้นบ้านทุกคนผมได้ให้การกับ กกต. แล้ว ไม่ต้องกลัวหมิ่นประมาทเขาบอกว่าตายเป็นตายทั้งหมดชุดนี้วางงานกัน 6 เดือน แล้วใช้นกต่อคือนายชัยวัฒน์ ที่เข้ารับการบำบัดยาเสพติด ทั้งในฐานะผู้ค้าและผู้เสพ แล้วประวัติที่มีคนส่งมาให้คือเป็นซุ้มมือปืน ซึ่งไม่มีใครกล้าไปยุ่งกับเขาเพราะกลายเป็นผู้มีอิทธิพล หลังจากที่ผมถูกปฏิวัติรัฐประหารแล้ว นายชัยวัฒน์ ก็ถูกใช้โดยเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงบางฝ่าย ใช้เป็นตัวกลาง รวมคนมาพบผม ซึ่งเป็นการวางแผน และกระบวนการสอบทั้งหลาย สำนวนอยู่ในมือ พล.ต.ต.ช. เพื่อนำเสนอ กกต. และเอาสำนวนทั้งหลายไป
ส่งให้ลูกพี่ แล้วปล่อยข่าวว่า กกต.รับเงิน เพื่อกดดันให้กกต.ไม่มีความชอบธรรมในการตัดสินว่าผมเป็นฝ่ายถูก เพื่อด่ากกต.ไว้ก่อน และอีกด้านหนึ่งก็เอาข่าวให้ทีมงานแถลง มีผังมีชาร์ต เพื่อทำให้คนสังคมเห็นว่าผมซื้อเสียงและเป็นคนชั่วโดยที่ผมก็สงบปากสงบคำไม่ตอบโต้ เพราะเคารพ กกต. และยืนยันว่าหลักฐานต่างๆ นั้นไม่จริง แต่วันนี้เหลือจะอดแล้ว ผมมาขอตามดูเพื่อจะถามว่าวีซีดีมีภาพอะไรบ้าง ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่ได้รับ ซึ่งผมเห็นใจ กกต.อย่างมากที่เจ้าหน้าที่สันติบาลบางคนไม่นำมาให้ ทั้งที่นัดหมายเป็นคำสั่งของกกต.หากแผนการบนชาร์ตสำเร็จแล้วคนที่จะได้ประโยชน์ก็คือ ผู้สมัครเขตพรรคชาติไทย พรรคประชาธิปัตย์ และเพื่อแผ่นดินด้วย ซึ่งประกาศเป็นพันธมิตรกันที่ร้านช้อนเงินช้อนทองแต่กลับปรากฏว่าเมื่อการเลือกตั้ง พรรคพลังประชาชนได้เสียงข้างมากทำให้ขั้วสลาย แต่แผนการเหล่านี้ก็ยังดำเนินอยู่ ส่วนต่อมาถ้าพรรคพลังประชาชนถูกยุบ คนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อผมก็ได้ประโยชน์ เพราะตามกฎหมายถ้าผู้บริหารทำผิดถือว่าพรรคทำผิดเสียเอง จะถูกยุบพรรค เพราะฉะนั้นเดิมพันของผมนั้นสูงมากขบวนการที่เกิดขึ้นคือ การสร้างข่าว กดดัน กกต. ถ้า
กกต.ตัดสินไม่เป็นอย่างที่ว่า ก็หาว่ากกต.รับสตางค์ ปล่อยข่าวว่าสำนวนรั่ว แล้วพอรั่วก็ไปโผล่ที่พรรคอื่นทุกที ทำไมไม่รั่วอยู่ที่ผม ผมตามหาซีดีอยู่กี่วันแล้วยังไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น