การชุมนุมของประชาชนที่ จ.บุรีรัมย์ เหมือนกับเหยื่ออันโอชะในสายตาของ คมช. ที่กำลังจ้องรอหาจังหวะแทรกตัวเข้ามาเพื่อกลับมามีบทบาทอีกครั้งหนึ่ง
พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม หัวหน้าสำนักงานเลขาธิการ คมช. และ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้ปฏิบัติหน้าที่ประธาน คมช. หรือประธานเถื่อน ซึ่งรอเวลามานาน ถึงกับกระโดดแผล็วออกมาหลังม่านสีเขียวลายพราง ออกมาให้สัมภาษณ์ แสดงความเห็นให้เป็นข่าวใหญ่ทันทีว่า เป็นการก่อความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นในบ้านเมือง และส่งทหารเข้าไปให้ตรวจสอบสถานการณ์ พร้อมทั้งให้ความคุ้มครอง นายเกษม วัฒนธรรม ประธาน กกต.บุรีรัมย์ แล้ว
"ผมต้องลงไปดู ไปให้กำลังใจคนทำความดี คนทำดีเราต้องช่วยไม่ให้เขารู้สึกว่าถูกโดดเดี่ยว เพราะเราให้เขามาทำงานตรงนี้เราก็ต้องดูแลให้ความปลอดภัยเขาเต็มที่ ไม่ให้ใครมารังแก คนที่มาทำงานจะได้มีกำลังใจ" คือคำกล่าวของ พล.อ.สมเจตน์ ที่เป็นตัวแทน คมช. เข้าไปตรวจสอบข้อมูลที่บุรีรัมย์
ฟังคำพูดของ พล.อ.สมเจตน์ แล้ว คงไม่ต้องถามให้เสียเวลาว่า คมช. มีความเห็นอย่างไรกับประชาชนชาวบุรีรัมย์ที่ออกมาชุมนุมประท้วงการทำงานของ นายเกษม วัฒนธรรม ประธาน กกต.บุรีรัมย์ และ ไม่ต้องถามว่า คมช. ยืนข้างใคร ระหว่าง นายเกษม วัฒนธรรม กับ ประชาชนเกือบ 80,000 คน ที่ลงคะแนนให้กับ นายพรชัย ศรีสุริยันโยธิน นายรุ่งโรจน์ ทองศรี และ นายประกิจ พลเดช ผู้ชนะเลือกตั้งเขต 1 บุรีรัมย์ ที่ถูกใบแดง
นายเกษม วัฒนธรรม ดูจะเป็นข้าราชการตัวอย่าง ข้าราชการดีเด่นในสายตา คมช. มาตั้งแต่สร้างผลงานให้ จ.บุรีรัมย์ เป็นพื้นที่สีเขียวในการลงมติร่างรัฐธรรมนูญ 2550 จนกระทั่งมีการส่งแม่ทัพภาคที่ 2 ไปเรียนรู้ยุทธวิธี "บุรีรัมย์โมเดล" จากนายเกษม ถึง จ.บุรีรัมย์ และเผยแพร่บุรีรัมย์โมเดลไปยังจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อใช้เป็นไม้เด็ดในการบันดาลให้ผลการเลือกตั้ง ส.ส. เป็นไปตามที่ต้องการ
แต่ผลการเลือกตั้งกลับไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ พรรคพลังประชาชนกวาดชัยชนะมามากเป็นอันดับ 1 โดยเฉพาะที่ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นต้นแบบของบุรีรัมย์โมเดล ผู้สมัครพรรคพลังประชาชนพากันแหกด่านบุรีรัมย์โมเดล ที่นายเกษมวางกับดักไว้มาได้ถึง 9 คน เมื่อสกัดไม่อยู่ก็ต้องงัดบุรีรัมย์โมเดลภาคพิสดารขึ้นมา ด้วยการกล่าวหาและแจกใบเหลือง ใบแดง ซึ่งเท่ากับเป็นการงัดไม้ตายขึ้นมาเล่นกันแล้ว นำไปสู่การเผชิญหน้ากันระหว่างประชาชนผู้ลงคะแนนเลือกตั้ง กับ นายเกษม วัฒนธรรม เนื่องจากไม่พอใจที่นายเกษมใช้อำนาจประธาน กกต. เป่าเสกให้คะแนนของประชาชนเกือบ 80,000 คะแนน ที่ให้กับผู้สมัคร ส.ส. พรรคพลังประชาชน 3 คน หายวับไปกับตา
ตรงนี้ต่างหากที่เป็นชนวนเหตุทำให้เกิดการชุมนุมของประชาชนชาวบุรีรัมย์ แสดงความไม่พอใจต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ นายเกษม วัฒนธรรม ในฐานะประธาน กกต.จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งไม่ได้รับความสนใจและใส่ใจที่จะศึกษาหาสาเหตุของการชุมนุม ของ คมช. แม้แต่น้อย ก่อนจะออกมาแสดงความคิดเห็น
ทั้ง พล.อ.สมเจตน์ และ พล.อ.อ.ชลิต พร้อมใจกันชี้ว่าการชุมนุมของประชาชนบุรีรัมย์เป็นเรื่องของการยุยงปลุกปั่นของนักการเมือง ที่ไม่ยอมรับผลการตัดสินของ กกต. ที่ให้ใบแดงแก่ผู้สมัครพรรคพลังประชาชน
โดยเฉพาะประธานเถื่อน คมช. ที่ชื่อ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ถึงกับคาดโทษผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ หากยังปล่อยให้มีการชุมนุมเกิดขึ้นอีก ไม่สามารถควบคุมให้ประชาชนอยู่ในแถวตามที่ คมช. ต้องการได้ จะถูกลงโทษ ซึ่งไม่ใช่การส่งสัญญาณไปถึงผู้ว่าฯ บุรีรัมย์เท่านั้น หากแต่ตั้งใจที่จะประกาศให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกคนได้ยินได้ฟังโดยทั่วกัน เพื่อหาทางสกัดกั้นไม่ให้มีการชุมนุมของประชาชนประท้วงการทำงานของ กกต. เหมือนกับที่ จ.บุรีรัมย์ เกิดขึ้นอีก
การแสดงออกของ คมช. ว่าพร้อมจะปกป้อง คุ้มครอง ข้าราชการที่รับใช้ คมช. จนละเลยประชาชน เป็นความพยายามที่จะแสดงให้ข้าราชการที่กำลังอกสั่นขวัญแขวน และขวัญหนีดีฝ่อกับผลการเลือกตั้งที่ออกมา และถอยหลังไปตั้งหลักใหม่ หลังจากที่เดินตามตูด คมช. ทำเรื่องราวต่างๆ มามากมายใน 1 ปีเศษที่ผ่านมา ให้มีกำลังขวัญที่กล้าแข็งอีกครั้งในการเดินตาม คมช. ทำสงครามการเมืองกับพรรคพลังประชาชนต่อไป แม้ผลการเลือกตั้งจะออกมาแล้วก็ตามว่า พรรคพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาลบริหารประเทศแน่ๆ แล้ว
ทั้งๆ ที่รู้ว่าเกือบจะหมดเวลาแล้ว และเกมอำนาจของ คมช. ที่ใช้อาวุธปล้นมาจากผู้อื่น ใกล้จะเกมโอเวอร์เต็มที แต่ คมช. ก็ยังดิ้นรนทุกวิถีทางที่จะทำให้ความฝันลมๆ แล้งๆ ของตนเองเป็นความจริงขึ้นมาให้ได้ เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับว่า คมช. กำลังจะหมุนโลกที่หมุนไปข้างหน้าทุกวัน ทุกนาที ให้กลับคืนมา เพื่อที่จะให้พรรคพลังประชาชนไม่ได้เป็นรัฐบาล และให้ผลการเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงไปจากที่ประชาชนตัดสินใจไปแล้ว
จับตาดูจากสถานการณ์ทั่วประเทศแล้ว ก็เห็นจะมีแต่ นายเกษม วัฒนธรรม คนเดียวนี่ล่ะ ที่ยังเชื่อว่า คมช. จะปกป้องคุ้มครองอนาคตทางราชการของตัวเองได้ จึงแสดงอาการกล้าหาญบ้าบิ่นจนผิดปกติวิสัยข้าราชการทั่วไป ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าระเบิดอารมณ์ผ่านคำพูด "การศึกยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร" ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นเจตนาที่ซ่อนเร้นอยู่ในหัวใจของประธาน กกต.จังหวัดบุรีรัมย์ คนนี้ ว่าเป็นกลาง เที่ยงธรรม และสุจริตต่อการทำหน้าที่ กกต. เพียงใด และนายเกษมกำลังทำศึกอยู่กับใครหรือ?
กระทั่งกล่าวหาและดูถูกประชาชนที่มาชุมนุมประท้วงการทำงานของตนเองว่า ถูกหลอก ถูกจ้างมาชุมนุม นายเกษมก็กล้าพอที่จะใส่ร้ายประชาชน หลังจากได้รับยาดีและแรงใจจาก พล.อ.สมเจตน์ ที่เข้าเยี่ยมเยียนให้กำลังใจถึง จ.บุรีรัมย์
นายเกษม และ คมช. น่าจะย้อนกลับไปดูพฤติกรรมที่ผ่านมาของตนเอง และย้อนคิดสักนิดว่าทำไมจึงเป็นประธาน กกต.จังหวัดคนเดียวที่ถูกประชาชนชุมนุมประท้วง และทำไมบุรีรัมย์จึงแปรสภาพจากพื้นที่สีเขียวที่ คมช. เคยภาคภูมิใจ เป็นพื้นที่สีแดงที่ทำให้ คมช. ขนหัวลุกรวดเร็วเช่นนี้
แต่อย่าย้อนไปให้ไกลนัก เพราะใกล้จะหมดเวลาเต็มทีแล้ว
คมช. ได้ยินไหม สัญญาณ "เกมโอเวอร์" มาถึงแล้ว