ท่านผู้หญิงพูนศุข ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ภรรยายอดเยี่ยม หากยังได้ช่วยงานการเมืองของท่านรัฐบุรุษอาวุโสอยู่มิใช่น้อย โดยเฉพาะงานเสรีไทยในสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเป็นผลทำให้ไทยไม่ต้องเป็นฝ่ายแพ้สงคราม นับว่าเป็นคุณูปการที่ชาวไทยควรระลึกถึง และในคราวนี้ก็ควรร่วมไว้อาลัยต่อการจากไปของท่านโดยทั่วกัน
บนเส้นทางสายประชาธิปไตย หากไม่แวะคารวะดวงวิญญาณท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ก็คงขาดกตเวทิตาธรรมอย่างยิ่ง
สำหรับทางด้านรัฐ หรือราชการนั้น หากบ้านเมืองอยู่ในช่วงประชาธิปไตย ก็คงจะได้มีการแสดงท่าทีที่เหมาะสมต่อการถึงแก่อนิจกรรมของท่านผู้หญิงพูนศุขบ้างเป็นแน่ แต่เมื่อท่านมาถึงอนิจกรรมลงในช่วงที่บ้านเมืองเป็นเผด็จการทุรยุคเช่นนี้ก็คงหวังอะไรกันไม่ได้ และก็คงต้องทำใจ
ฉบับที่แล้ว ผมเขียนถึง คำถามของ อ. มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และอธิบดีศาลอาญาในฐานะที่เป็นนักกฎหมายสายธรรมศาสตร์ ซึ่งถามคนไทยทั้งชาติเกี่ยวกับเรื่อง การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กับการปกครองระบอบเผด็จการทหารซึ่งมีหลักเกณฑ์แตกต่างกันว่าจะเลือกเอาอย่างไหน
ฉบับนี้ ผมขอเอาหลังพิงเชือก คือผ่อนแรงตัวเอง พึ่ง อ. มานิตย์ ต่อไปอีกประเด็นหนึ่งเพราะ อ. มานิตย์ ท่านปรารภเรื่อง รัฐธรรมนูญ 2540 อันเป็นรัฐธรรมนูญฉบับของประชาชนโดยแท้จริง เพราะได้ผ่านการมีส่วนร่วม ผ่านกระบวนการประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นของประชาชนคนไทยทุกจังหวัด ทั่วประเทศ และผ่านการบังคับใช้มาเป็นเวลา 10 ปี พระราชบัญญัติ และกฎหมายที่ออกตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้รับการยอมรับจากปวงชนชาวไทยเป็นอย่างดี แม้จะถูกบังคับใช้ในทางที่เป็นโทษแก่ตน ก็ไม่มีผู้ใดคัดค้าน และชาวต่างชาติก็ให้การยอมรับ คบค้าสมาคมด้วยความมีเกียรติ ศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน
ผู้มีความรู้ ผู้เป็นปราชญ์ เชื่อกันว่า ไม่มีใครกล้าทำรัฐประหารอีกแล้ว เพราะมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ 2540 บัญญัติไว้ชัดเจนว่า “ม.63 บุคคลจะใช้สิทธิ และเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้มิได้”....
นอกจากนี้ประมวลกฎหมายอาญา ม.113 ยังบัญญัติว่า “ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อ
(1) ล้มล้าง หรือ เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ
(2) ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลากรแห่งรัฐธรรมนูญ หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ
(3) แบ่งแยกราชอาณาจักร หรือยึดอำนาจการปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใด แห่งราชอาณาจักร
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต”
แม้กฎหมายบัญญัติโทษไว้รุนแรงเช่นนี้ ในวันที่ 19 กันยายน 2549 คณะบุคคลที่ประกอบด้วย ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ทั้ง 3 เหล่าทัพ และผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังกล้าประพฤติฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ 2540 ม.63 และประมวลกฎหมายอาญา ม.113 กันหน้าตาเฉย และยังบังอาจขอเข้าเฝ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเวลาวิกาล เพื่อทูลเกล้าฯ ขอให้ทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้คณะรัฐประหารเป็นคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ชื่อซึ่งคณะรัฐประหารตั้งขึ้นนี้ ทำให้ปวงชนชาวไทย และชาวต่างชาติ เข้าใจผิดไปแล้วว่า การรัฐประหารครั้งนี้มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นับว่าเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียพระบรมเดชานุภาพอย่างแท้จริง
เมื่อ รัฐธรรมนูญ คือกฎหมายสูงสุดที่จัดระเบียบการปกครองประเทศจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พระมหากษัตริย์ ปวงชนชาวไทย และศาลไทยต้องอยู่ภายใต้บังคับ และต้องปฏิบัติตาม
รัฐธรรมนูญ จึงต้องเกิดขึ้นด้วยมือของปวงชนชาวไทยผู้บริสุทธิ์ตามระบอบประชาธิปไตย เท่านั้น ไม่อาจเกิดขึ้นจากมือของคนร้ายหรือจากมือโจรปล้นอำนาจอธิปไตย
ผู้กระทำความผิดฐานเป็นกบฏ หากเอาทรัพย์สิน เงินทองของประชาชนไปเป็นประโยชน์ส่วนตนด้วย (ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม) ผู้นั้นมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 อีกกระทงหนึ่ง
ผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.113 , ม.340 และ ม.357 (ฐานรับของโจร) ล้วนได้ชื่อว่า “โจร” ผู้ที่โจรแต่งตั้งให้มาทำงานให้โจร ได้ชื่อว่าโจรด้วยกัน
ดังนั้นพวกโจรทั้งหลายจึงควรแก่การพิจารณาตนเอง ยุติบทบาททำลายบ้านเมืองเสียที ก่อนที่จะถูกสุจริตชนผู้รักชาติ และจงรักภักดีลุกขึ้นมาปราบปรามในไม่ช้านี้
นี่เป็นข้อคิดที่ผมสรุปเอง หลังจากได้อ่านบันทึกของ อ.มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ.