WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, March 3, 2008

ยาหม้อกระตุ้นศก.เข้าครมพรุ่งนี้

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เตรียมเสนอมาตรการภาษีกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ (4 มี.ค.51) คาดสามารถเร่งให้เกิดการลงทุนในประเทศได้ภายใน 6 เดือน

นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ “แนวทางชัดๆ รัฐบาลใหม่กับการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ” ว่า รัฐบาลจะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการสร้างความเชื่อมั่น และเร่งรัดให้เกิดการลงทุนให้ได้ภายใน 6 เดือน ซึ่งการที่รัฐบาลประกาศเริ่มลงทุนโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ มูลค่า 150,000 ล้านบาท เป็นการส่งสัญญาณเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคเอกชนขยายการลงทุนตาม โดยยอมรับว่า งบประมาณลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจภายในสิ้นปีนี้ หรือประมาณต้นปี 2552 ทั้งนี้จากการที่รัฐบาลได้ประกาศให้ปีนี้เป็นปีแห่งการลงทุนจึงจะสนับสนุนมาตรการทางภาษีให้เอกชนที่ลงทุนในปีนี้ได้ประโยชน์มากที่สุด รวมทั้งจะใช้มาตรการลดหย่อนภาษีให้กับประชาชนระดับรากฐาน เพื่อให้มีเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยเตรียมนำมาตรการกระตุ้นภาษีดังกล่าว เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ ส่วนในรายละเอียดยังไม่สามารถเปิดเผยได้

ด้าน นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในโอกาสเดินทางไปมอบนโยบายแก่ผู้บริหารกรมสรรพากรเป็นครั้งแรก หลังเข้ารับตำแหน่ง ว่า มาตรการภาษีกระตุ้นเศรษฐกิจที่กระทรวงการคลังจะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่ออนุมัติในวันพรุ่งนี้ มีทั้งมาตรการภาษีที่จะลดภาระให้กับบุคคลทั่วไป วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมทั้งมาตรการภาษีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของตลาดทุน และมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วย ซึ่งตนเองยอมรับว่าอาจจะทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้กว่า 40,000 ล้านบาท แต่เชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจปีนี้ ขยายตัวได้สูงขึ้นอีกร้อยละ 1 จากประมาณการเดิมที่คาดไว้ที่ร้อยละ 4.5-5.5 ส่งผลให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อมาชดเชยในส่วนที่เสียไปจากมาตรการดังกล่าวได้