นายสุรชัย แซ่ด่าน อดีตคนเดือนตุลา แกนนำชมรมคนรักทักษิณ และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นกป.)…
กลุ่มพันธมิตรฯจริงๆก็เป็นพวกเดียวกัน เป็นฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกัน ในความคิดเห็นของผม ถามว่าพวกนี้เข้าไปอยู่กระบวนการนั้นอย่างไร ก่อนที่นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และอีกหลายคนจะขึ้นเวทีก็นั่งอยู่ด้วยกัน เราก็เป็นเพื่อนกัน สนิทกัน ผมก็ยังห้าม บอกว่าดูซะก่อน การที่คุณจะไปขึ้นเวทีกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
โดยคุณสนธิมาชวนผมก่อนตรงนั้นซะด้วย ผมก็บอกกับคุณสนธิไปว่าผมเห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง ผมไม่ได้ปกป้องรัฐบาลไทยรักไทย แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบเปลี่ยนผ่าน ไม่ใช่แบบโค่นล้ม
เราเคยต่อสู้ในป่ามาตั้งแต่หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ใช้ทฤษฎีโค่นล้ม มีการล้มตาย มีอะไรเสียหายมากมาย และได้บทเรียนแล้วว่าการโค่นล้มไม่ใช่การแก้ปัญหา การเปลี่ยนผ่านก็คือการเปลี่ยนอย่างสันติ พูดง่ายๆให้เป็นไปตามวิวัฒนาการ และผมเห็นว่าจะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นวิวัฒนาการ ไม่ใช่เป็นวัฏจักร ถ้าเปลี่ยนจากรัฐบาลไทยรักไทย ทักษิณต้องเปลี่ยนไปในสิ่งที่ดีกว่า ไม่ใช่ถอยกลับมาด้วยการยึดอำนาจ ตรงนี้มันเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบวัฏจักร หรือที่เรียกว่าวงจรอุบาทว์ มีการยึดอำนาจ มีการเขียนรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง มีรัฐบาลก็เป็นวัฏจักร ตรงนั้นเราผ่านมาแล้ว 20-30 ปี มันไม่ควรจะใช้อีก แล้วในที่สุดก็เป็นไปตามที่ผมเสนอไว้
แต่การเปลี่ยนแปลงแบบโค่นล้มแล้วอะไรจะเกิดขึ้นตามมา และเปลี่ยนแปลงแบบวัฏจักร ในที่สุดเมื่อยึดอำนาจเสร็จก็เขียนรัฐธรรมนูญ ก็เลือกตั้ง และถ้าต่อไปยึดอำนาจอีกมันก็จบ วันนี้โลกไม่ใช่โลกยุคเผด็จการ ไม่ใช่โลกยุคล้าหลังแล้ว เราต้องดูประเทศที่พัฒนา อย่างประเทศตะวันตกเขาก้าวไปไกลแล้ว ถามว่าคนพวกนี้เขาไม่รู้หรือ เขาก็รู้ แต่ในที่สุดก็ไปขึ้นเวที ซึ่งมองได้ 2 อย่างคือ
1.อาจจะติดทฤษฎีต่อต้านนายทุน เพราะทักษิณเป็นนายทุน ผมถามว่าคำว่าต่อต้านนายทุนคือทุนอะไร เป็นทุนเก่าศักดินา ทุนล้าหลัง หรือวันนี้ทักษิณคือทุนใหม่ ยิ่งกระแสโลกวันนี้คือกระแสทุนใหม่ จริงๆแล้วเรื่องทุนเป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้น ทฤษฎีเก่าที่ว่าต้องโค่นทุนนิยมใช้ไม่ได้แล้ว เพราะทุนนิยมมีทั้งข้อดีและข้อด้อย
2.พวกนี้เคยต่อสู้กับทุนเก่าศักดินา กับอำมาตยาธิปไตย ต่อสู้มาก็ต้องหนีเข้าพงเข้าป่า แล้วในที่สุดก็พ่ายแพ้ พอพ่ายแพ้ก็คิดว่าเที่ยวนี้อำมาตยาธิปไตยต้องชนะทุนอีกเลยไปเข้าข้างอำมาตยาธิปไตยดีกว่า ต้องชนะแน่ ทีนี้กลายเป็นว่าวันนี้ตัวเองตัดสินใจผิดพลาด ถ้าจะหยุดก็ไม่รู้จะอธิบายกับตัวเองอย่างไร และคิดว่าถ้าหยุดตัวเองก็จะตกเวทีประวัติศาสตร์ ถูกเช็กบิล ความกลัวจึงดันทุรังไป ทั้งๆที่สถานการณ์วันนี้ถ้ากลุ่มพันธมิตรฯจะรวมพลกันขึ้นมาจริงๆ ผมไม่แน่ใจว่าคนจะเห็นด้วยหรือเปล่า วันนี้กลายเป็นแค่ประเภทอึ่งอ่าง คือทำให้รู้ว่ายังน่ากลัวอยู่ จริงๆก็อยู่กันแค่ 5-6 คน เขาทำได้แค่ให้มีราคาเท่านั้น เพื่อให้เห็นว่าตัวเองยังมีกำลังอยู่ จริงๆแล้วก็น่าสงสาร เพราะมันรู้กัน
ขอขอบคุณ http://www.dailyworldtoday.com/