บทความ โดย ปูนนก
หลายปีก่อนเคยมีภาพยนตร์เรื่อง 2499 อันธพาลครองเมืองเข้ามาสร้างความฮือฮาให้กับคนไทยรุ่นใหม่ ๆ ที่เกิดหลังยุคดังกล่าวอย่างมาก ชื่อของ แดง ไบเล่ย์, ปุ๊ ระเบิดขวด, ดำ เอสโซ่, เปี๊ยก วิสุทธิ็กษัตริย์ กลายเป็นที่รู้จักและกล่าวขวัญกันในพฤติกรรมกวนเมืองของพวกเขา ผู้คนในยุคอันธพาลครองเมืองต่างมีวิถีชีวิตที่หวาดกลัวกับกลุ่มคนเหล่านี้ ที่ดูเหมือนอยู่เหนือกฎหมายโดยใช้อำนาจกฎหมู่ขึ้นมาข่มขู่ แม้ภาพยนตร์จะสร้างให้ตัวละครแต่ละคนดูเหมือนเป็นคนมีคุณธรรมอยู่บ้าง แต่การใช้อำนาจมืดที่อยู่นอกกฎหมายและอิทธิพลข่มขู่ก็เป็นสิ่งไม่อาจปฏิเสธได้
ปี 2552 ประเทศไทยคงไม่มีอันธพาลครองเมืองดังเช่นปี 2499 อีกต่อไป แต่ตรงกันข้ามสิ่งที่ปรากฏเห็นในปัจจุบันเรากลับได้สัมผัส “คนบ้า (อำนาจ)” ที่กำลัีงครองเมืองอย่างโจ๋งครึ่มที่สุด “คนบ้า (อำนาจ)” ที่ว่านี้ ก็คือ คนบ้าที่สามารถยกพวกเข้าไปยึดครองทำเนียบรัฐบาล, ยึดครองสนามบิน, เครื่องบิน, และโจรกรรมสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในอาคารผู้โดยสารโดยที่กฎหมายไม่สามารถทำอะไรได้ และที่ยิ่งกว่านั้น “คนบ้า (อำนาจ)” เหล่านี้ ยััีงพยายามยึดครองประเทศโดยใช้องคาพยพทุกอย่างเพื่อยึดอำนาจในประเทศนี้มาเป็นของตน อำนาจที่ว่านี้หมายถึงอำนาจ “ประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชนไทยทั้งมวล”
รัฐบาลกำลัังถูกบริหารจัดการโดย “คนบ้า (อำนาจ)” และเป็น “คนบ้า (อำนาจ)” ที่กำลังทำลายประเทศชาติให้ย่อยยับ “คนบ้า (อำนาจ)” ที่กำลัีีงพยายามจะออกกฎหมายให้โทษของ “การก่อการร้ายสากล” ในการยึดสนามบินที่มีโทษถึง “ประหารชีวิต” ให้เหลือเพียงแค่ปรับ “500 บาท” “คนบ้า (อำนาจ)” ที่มองเห็นคดีที่มีความสำคัญระดับโลกอย่างการยึดเครื่องบินทีเดียว 88 ลำ มีความสำคัญน้อยกว่าการยกเลิกพาสปอร์ตแดงของอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร และ “คนบ้า (อำนาจ)” เหล่านี้ได้รวมกันเพื่อจะใส่ร้ายคนไทยผู้รักประชาธิปไตยทั้งชาติให้กลายเป็นศัตรูต่อประเทศชาติ โดยอาศัยกฎหมาย “หมิ่น” และคำว่า “ไม่จงรักภักดี” มาใช้เป็นเครื่องมือ
กลุ่ม “คนบ้า (อำนาจ)” เหล่านี้ใช้การโกหก, หลอกลวง, ปลิ้นปล้อน, พูดให้ความผิดกลายเป็นความถูก พูดให้ความถูกเป็นความผิด โดยใช้บุคลิก, น้ำเสียง, ท่าทาง ที่ดูน่าเืชื่อถือของใครบางคน (ที่สร้างภาพเอาไว้) มาเป็นเครื่องมือเพื่อชักจูงและโน้มน้าวจูงใจคนไทยให้เชื่อในสิ่งที่ได้วางแผนไว้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เคยพูดว่า อดีตนายกทักษิณ โอนเงินนับหมื่นล้านบาทผ่านทางสนามบินสุวรรณภูิิมิ เพื่อใช้ในการเลือกตั้งโดยชูกระดาษแผ่นเดียวแต่ก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ ต่อมานายสุเทพ ใช้ความเก๋าทางการเมือง และความหน้าด้านแบบ “คนบ้า (อำนาจ)” ให้สัมภาษณ์ว่า อดีตนายกทักษิณ ชินวัตร จะกลับมาประเทศไทยเพื่อจะเป็นประธานาธิบดีโดยไม่มีหลักฐานใด ๆ ....
อยู่ ๆ นายเทพไท เสนพงษ์ โฆษกส่วนตัวของท่านนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็แถลงข่าวบอกว่าประเทศสหรัฐอเมริกา ขึ้นบัญชีดำของอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ไม่ให้เข้าประเทศ ซึ่งท่านเอกอ้ครทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยก็ให้ข่าวว่าไม่เป็นความจริง การโยกย้ายทหารระดับ (คุมกำลัง) ผู้บังคับกองพัน และการย้ายนายตำรวจครั้งใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แสดงให้เห็นถึงการขับเคลื่อนครั้งสำคัญของยุทธการปิดประเทศของ “คนบ้า (อำนาจ)” ที่กำลังมัวเมาในอำนาจของประเทศนี้.....
ไม่มีการเคลื่อนไหวดำเนินการเอาผิดที่ชัดเจนใด ๆ ต่อการกระทำผิดซึ่งหน้าของกลุ่มพันธมิตรที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการใช้กำลังและมีอาวุธเข้ายึดสถานีโทรทัศน์ NBT, แม้กระทั่งคดีฆ่าคนตายกลางถนนราชดำเนิน หรือการใช้ปืนยิงและทำร้ายผู้คนกลางถนนในขณะที่กำลังก่อม๊อบประท้วงไปทั่วกรุงเทพฯ.....แต่ตรงกันข้ามกลุ่ม “คนบ้า (อำนาจ)” เหล่านี้กลับพยายามหาเหตุที่จำจับกุมดำเินินคดีต่อผู้ที่พยายามเรียกร้องประชาธิปไตยผู้สวมเสื้อ “สีแดง” โดยใช้ข้อกล่าวหาว่า “หมิ่น” และ “ความไ่ม่จงรักภักดี” มาเป็นเครื่องมือ....
และที่สำคัญนอกจากจะไม่ดำเนินการใด ๆ กับกลุ่มพันธมิตรแล้ว ยังมีการกระทำที่เหมือนส่งเสริมให้เกิดการกระทำผิดมากยิ่งขึ้น.... นายกษิต ภิรมย์, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และอีกหลาย ๆ คนที่อยู่ในการชุมนุมประท้วงของพันธมิตร ต่างได้รับความดีความชอบและตำแหน่งในรัฐบาล “คนบ้า (อำนาจ)” นี้ นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรคนสำคัญประกาศลั่นว่า จะเคลื่อนขบวนของกลุ่มพันธมิตรไปที่ จ. อุดร ในวันที่ 14 ก.พ. นี้ โดยบอกว่าจะไปนำจังหวัด อุดรราชธานี มาเป็นเมืองขึ้นของพันธมิตรให้จงได้....ไม่ว่าการพูดนี้จะเป็นการพูดเพื่อปลุกใจให้ฮึกเหิม หรือเป็นการพูดเล่น ๆ ก็ตาม แต่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพันธมิตรที่รวมตัวเพื่อจะไปจังหวัดอุดร ครั้งนี้ก็เพื่อจะไปก่อให้เกิดความรุนแรงอย่างแน่นอน.....ไม่มีผู้มีหน้าที่รับผิดชอบคนใดออกมาให้ความสำคัญกับสิ่งที่นายสนธิพูดในครั้งนี้แต่อย่างใด...
ประเทศไทยเป็นของคนไทยทุกคน และประชาชนไทยทุกคนก็เป็นเจ้าของและมีสิทธิ์ที่จะเลือกในการปกครองของตนเองและอยู่ในประเทศนี้อย่างมีอิสระ ไม่ใช่อยู่อย่างทาสในเรือนเบี้ยที่จะต้องอยู่ใต้การปกครองของเผด็จการ “คนบ้า (อำนาจ)” อย่างที่เป็นอยู่นี้....
เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤต และกำลังรุกลามเข้ามาสู่ประเทศไทย ไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่เราทุกคนก็จะได้รับผลกระทบนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น แต่ที่สำคัญวิกฤตการเมืองเรื่ืองประชาธิปไตยที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยนั้นกลับเป็นปัญหาที่สำคัญและเร่งด่วนยิ่งกว่า ถ้าประเทศไทยยังไม่ได้รับการแก้ไขและเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชนโดยสมบูรณ์ วิกฤตการณ์ครั้งนี้จะทำลายโครงสร้างและระบบการปกครองของประเทศไทยลงอย่างย่อยยับ อนาคตของประชาชนไทย และประเทศชาติคงมองไม่เห็นอย่างแน่นอน...
คงจะถึงเวลาแล้วที่ประชาชนไทยทุกคนต้องถือเป็น “หน้า่ที่” โดยตรงที่จะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยอันสมบูรณ์อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นการสืืบสานปณิธานของคณะราษฎร์ที่ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตย เพื่อประชาชนไทยทั้งมวล.....“เสื้อสีแดง” จะเป็นพลังแห่งการรวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับอำนาจเผด็จการที่ครอบงำประเทศไทยนี้อยู่
“เหตุที่ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่อยู่ได้ก็เพราะพวกเรามอบกราบอยู่แทบเท้าของพวกเขา ถ้าเรายืนขึ้นก็จะเห็นว่าอันที่จริงแล้่วพวกเขาก็ไม่มีอะไรเลย” อาจารย์ใจ กล่าวก่อนจะเดินทางไปประเทศอังกฤษ
ปูนนก