คำพังเพยที่ว่า “พูดดีเป็นศรีแก่ปาก พูดมากปากจะมีสี” นั้น คงไม่ต้องอธิบายความมาก เพราะมันมีคำตอบในตัวของมันเองแล้ว ครับ...กำลังจะพูดถึงหน้าที่ของคนใช้ปากก็บรรดาโฆษก รองโฆษกของรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์นี่แหละ
ยิ่งพรรคการเมืองนี้ได้ดีมีสุขอยู่ทุกวันนี้ได้ก็เพราะปากนี่แหละครับ...เพราะแต่ละคนช่างพูดช่างจำนรรจากันเหลือเกิน
จนถูกค่อนขอดว่าเก่งแต่ปาก แต่บริหารประเทศไม่ได้เรื่องซึ่งก็เป็นความจริงที่ยากจะปฏิเสธเมื่อได้เป็นรัฐบาลมาหลายครั้งแต่แทบจะไม่มีผลงานให้ปรากฏ ซึ่งนั่นเป็นผลโดยตรงที่ทำให้เกิดความรู้สึกร่วมทำนองว่าพูดเก่ง แต่ทำงานไม่เก่ง
ส่งผลต่อความเชื่อมั่น เชื่อถือ จนต้องไปเป็นฝ่ายค้านยาวหลายปี ซึ่งตรงนี้เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ยากจะปฏิเสธ
ยิ่งไปเจอคู่แข่งที่มีความรู้ความสามารถ ทำงานเก่งก็ยิ่งไปกันใหญ่ อย่าไปมองว่าเพราะ “เงิน” อย่างเดียวที่ทำให้ประชาธิปัตย์ต้องเป็นฝ่ายค้านยาว
การได้เป็นรัฐบาลครั้งนี้ถือว่า “ส้มหล่น” มีหลายฝ่ายหนุน มีนักการเมืองและพรรคการเมืองต้องการเปลี่ยนขั้วเพื่อให้การเมืองเดินหน้าไปได้ เพื่อให้สังคมพ้นจุดความขัดแย้งไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
ข้อสำคัญก็คือยังคาดหวังว่าคนหนุ่มรุ่นใหม่อย่าง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” น่าจะเป็นความหวังที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาต่างๆได้
ยิ่งพูดถึงความ “สมานฉันท์” ที่จะยุติความขัดแย้งของสังคมอันเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลก็ยิ่งเชื่อกันว่าน่าจะทำได้
แต่ก็อย่างที่พูดเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่า คนของพรรคการเมืองนี้มันช่างพูด พูดมันทุกเรื่อง โต้มันทุกช็อตถึงตอนนี้ก็เลยไม่เห็นช่องว่ามันจะไปสมานฉันท์กันได้อย่างไร มีแต่ปะ ฉะ ดะกันทุกวัน มันจะทำให้การสมานฉันท์ห่างไกลไปทุกทีแล้ว
รัฐบาลได้ตั้งทีมงานโฆษกมีนักวิชาการคนนอกเข้ามาเป็นโฆษกรัฐบาล และมีรองโฆษกจากประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลก็เกิดปัญหาทำงานเป็นทีมไม่ได้ เพราะแบ่งกันพูดไม่ลงตัว
มันตลกดีนะครับ...
ขณะเดียวกับที่มีโฆษกพรรคที่ทำหน้าที่แถลงข่าวกิจการของ พรรคและตอบโต้พรรคการเมืองคู่แข่งแล้วก็ยังมีการตั้งโฆษกขึ้นมาอีกคน ตอนแรกก็บอกว่าโฆษกส่วนตัวนายกฯเพื่อตอบโต้ เปิดประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับนายก
แต่ตอนหลังเปลี่ยนเป็นว่าโฆษกหัวหน้าพรรค เพราะโฆษกรัฐบาลก็ทำหน้าที่ชี้แจง ตอบโต้นายกฯอยู่แล้วก็เลยต้องเปลี่ยนชื่อให้มันยุ่งเข้าไปอีก ซึ่งจริงๆแล้วตัวนายกฯเองนั้นก็ช่างพูดอยู่แล้วก็เลยกลายเป็นว่ามีทีมช่างพูดเพียบไปเลย
สุดท้ายก็มีปัญหาขัดแย้งกันเองยังเคลียร์กันไม่จบ
จริงๆแล้วการขับเคลื่อนทางการเมืองหรือการบริหารประเทศ หากนายกฯยึดถือนโยบายสมานฉันท์นั้นน่าจะอยู่ที่ว่า พูดการเมืองให้น้อย หยุดตอบโต้ไร้สาระน่าจะเป็นกระบวนการทำงานที่ดี นั่นมิได้หมายความว่านายกฯรัฐมนตรี หรือ ส.ส.ในพรรคจะพูดอะไรไม่ได้
แต่มันน่าจะเป็นไปในทางสร้างสรรค์ พูดถึงงานชี้แจงทำความเข้าใจให้ประชาชนได้รับรู้หรือพูดถึงความคืบหน้า ความก้าวหน้าของงานอันเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและรัฐบาลมากกว่า อีกทั้งจะทำให้บรรยากาศต่างๆเป็นไปในทางสร้างสรรค์มากกว่า ไม่ต้องไปเปิดหน้าสู้กับฝ่ายค้านอันไม่มีความจำเป็น อันไหนควรตอบโต้หรือชี้แจงต้องอยู่ที่ประเด็นและความเหมาะสม
ไม่ใช่สร้างเงื่อนไขหรือเพิ่มเงื่อนไขให้มากขึ้นไปอีก ยิ่งวันนี้
ผลงานยังไม่ปรากฏยิ่งหนักเข้าไปอีก
กลัวครับ...กลัวว่าจะต้องไปเพราะ “ปาก” นี่แหละ.
“สายล่อฟ้า”