ที่มา ไทยรัฐ
เมื่อวานนี้ ผมนำข้อเขียนของท่านเจ้าคุณพิพิธ หรือพระราชวิจิตรปฏิภาณ แห่งวัดสุทัศนเทพวราราม มาลงตีพิมพ์ในคอลัมน์นี้ โดยมิได้ตัดต่อหรือย่อย่นใดๆเลย แม้แต่ประโยคเดียว
เพื่อที่จะให้ท่านผู้อ่านได้ตัดเก็บไว้สำหรับเป็นคู่มือในการดำรงชีวิตในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ตามหัวข้อเรื่องที่ท่านเจ้าคุณท่านให้คำแนะนำไว้
เพียงข้อเขียนกรอบแรกออกวางตลาดก็มีแฟกซ์มาแสดงความชื่นชมและบอกว่าจะตัดเก็บไว้อย่างแน่นอน
ท่านผู้อ่านที่ยังไม่ได้อ่าน หรืออ่านข้ามๆไป กรุณาไปหาอ่านในคอลัมน์เหะหะพาที ฉบับเมื่อวานตามสะดวกนะครับ
ผมเป็นคนที่ค่อนข้างห่างวัด ไม่ค่อยได้มีโอกาสสนทนากับพระคุณเจ้า...เวลาจะสนทนาพูดคุยหรือแม้แต่จะเขียนถึงพระคุณเจ้าก็มักจะอึดอัด เกรงว่าจะใช้คำศัพท์ไม่ถูกต้อง
จึงขออนุญาตที่จะออกตัวเอาไว้ก่อนว่า หากผมใช้คำพูดประการใดไม่เหมาะสม หรือไม่สมควรที่จะใช้กับพระสงฆ์...ก็ขออภัยล่วงหน้าไว้ด้วย
คือผมอยากจะนมัสการขอบพระคุณพระคุณเจ้าหลายๆรูปที่กรุณา เทศนาให้คำชี้แนะแก่ประชาชนให้รู้จักวางตัววางตน อดทนต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ ที่ถดถอยลงในขณะนี้
นอกจากท่านเจ้าคุณพิพิธที่กรุณาเขียนบทความในนิตยสาร Vote ที่ผมหยิบยกมาลงทั้งฉบับเมื่อวานนี้แล้ว เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี) ก็ออกมาสนทนาธรรมกับนายกรัฐมนตรี คุณ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ฝากข้อคิดไว้อีกหลายข้อ
นอกจากเรื่องที่จะรับมือกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำแล้ว ท่านยังขอบิณฑบาตเรื่อง “สีเหลือง สีแดง” ไว้ด้วย
ไม่อยากให้มีไทยเหลือง ไทยแดง ขอให้มีเพียงไทยแลนด์ที่เป็นหนึ่งเดียว
ผมเห็นด้วยกับท่านเป็นอย่างยิ่ง และตลอดเวลาที่เขียนคอลัมน์นี้ก็ได้เขียนถึงเรื่องนี้อยู่เสมอๆ...เพราะเห็นว่าปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นนั้นใหญ่หลวงเหลือเกิน...ลำพังคนไทยที่เป็นหนึ่งเดียวก็ใช่ว่าจะแก้ไขได้ง่ายๆ
ยิ่งมาแตกเป็นไทยเหลืองไทยแดงเข้าด้วย ลงท้ายก็คงจะกลายเป็นไทยคางเหลือง หรือไทยนัยน์ตาแดงบอบช้ำสาหัสกันไปทั้งประเทศ
ผมตระหนักดีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะคนไทยเราดูจะมีอุปนิสัยประจำชาติอยู่ประการหนึ่งคือชอบทะเลาะกัน ชอบแบ่งแยกกัน...เป็นมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลโน่นแล้ว
อ่านประวัติศาสตร์เก่าๆก็จะพบการแตกสามัคคีถึงขั้นยกพวกรบกันก็มีบ่อยๆ
ครั้นมาอ่านประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ๆจับความตั้งแต่ พ.ศ.2475 ก็เห็นทะเลาะกันวุ่นวาย ระหว่างผู้มีอำนาจทางการเมืองทั้งหลาย
เกิดการแบ่งแยกกันไปหมด จนผมแทบจะสรุปไปแล้วด้วยซ้ำว่าการขัดแย้ง การทะเลาะเบาะแว้ง ที่สมัยหนึ่งเรียกกันว่า การกินเกาเหลานั้นน่าจะเป็นคุณสมบัติของคนไทย
อย่างไรก็ตาม เมื่อกลับไปศึกษาในรายละเอียดอีกครั้ง จะพบว่าแม้คนไทยเราจะทะเลาะหรือแตกแยกกันจริง...แต่ที่จะรุนแรงถึงขั้นยกพวกฆ่ากันล้มตายเป็นเบือนั้นแทบไม่มีเลย
อาจมีการปะทะกันบ้าง สูญเสียชีวิตเลือดเนื้อบ้าง แค่เพียงเล็กๆน้อยๆ ก็ตกลงกันได้ โดยฝ่ายที่อ่อนกว่ามักจะยอมรับความพ่ายแพ้
ความแตกสามัคคีที่เสียหายมาก เกิดขึ้นเมื่อตอนเสียกรุงศรีอยุธยา แต่นั่นก็เป็นเพราะฝีมือของฝ่ายอริราชศัตรูมิใช่คนไทยฆ่ากันเอง หรือทำลายล้างกันเอง
เมื่อตอนสงครามความคิดฝ่ายขวาฝ่ายซ้าย โลกเสรีโลกคอมมิวนิสต์ อาจจะสูญเสียเลือดเนื้อ และชีวิตไปพอสมควร แต่เราก็มีทางออกของเราเอง และยุติลงได้ ซึ่งเมื่อคำนวณความเสียหายแล้วนับว่าน้อยมาก หากเทียบกับประเทศอื่นๆที่เผชิญเหตุการณ์เดียวกัน
ผมจึงมีความหวังอยู่ตลอดเวลาว่า ความขัดแย้งของคนไทยน่าจะเป็นเรื่องแก้ไขได้ และหากมีการชี้แจงทำความ
เข้าใจกันให้ดีๆ ความรุนแรงต่างๆก็จะลดลงหรือไม่เกิดขึ้นเลย
กลับไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจและเสียงเรียกร้องของประชาชนส่วนใหญ่ที่อยากเห็นคนไทยหันหน้าเข้าหากันและให้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อแก้ปัญหาใหญ่หลวงที่ชาติของเราเผชิญอยู่
ที่ผ่านมาพวกเราคอลัมนิสต์ที่เป็นฆราวาสเขียนขอร้องมาเยอะแล้ว...ทว่าไม่ประสบความสำเร็จ นั่นก็อาจเพราะเราเป็นฆราวาสด้วยกัน
บัดนี้ได้มีพระภิกษุสงฆ์มาขอบิณฑบาตแล้ว...จะเป็นไปได้ไหมที่ไทยเหลือง ไทยแดง จะกลายเป็นไทยแลนด์เพียงหนึ่งเดียวในเร็ววันนี้.
ซูม