นับตั้งแต่ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ผมรู้สึกว่า “หนุ่มมาร์ค” มีความเป็น “ผู้ใหญ่” ขึ้นเรื่อยๆ โดยสังเกตจากการให้สัมภาษณ์ในหลายๆครั้ง ต่างจากสมัยที่เป็นผู้นำฝ่ายค้าน มีความอดทนต่อ “แรงยั่วยุ” ของฝ่ายตรงข้ามได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ
ตัวอย่างล่าสุดก็ในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
คุณอภิสิทธิ์บอกว่า พอกลับถึงประเทศไทย ได้เปิดหนังสือพิมพ์ อ่านพบว่ามีข่าวคราวในเรื่องของการเมือง เรื่องของการตอบโต้อะไรต่างๆมากมาย แต่ขอย้ำว่า รายการทุกเช้าวันอาทิตย์จะไม่เป็นเวทีมาตอบโต้อะไรกัน แต่เป็นหน้าที่ของหัวหน้ารัฐบาล ที่จะมารายงานให้ประชาชนทราบถึงการแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและส่วนรวม
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง สื่อของรัฐ ต้องใช้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างรัฐบาลกับประชาชน เพื่อให้รัฐบาลรายงานผลงานของรัฐบาลสู่ประชาชน ไม่ใช่นำไปเป็น เวทีโฆษณาชวนเชื่อเพื่อหาเสียงให้กับพรรครัฐบาล หรือ ให้ฝ่ายรัฐบาลใช้เป็นเวทีด่าใครก็ได้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ซึ่งเป็น การเมืองน้ำเน่าแบบเก่าๆ ที่จะต้องเปลี่ยนไปสู่ การเมืองใหม่ที่สร้างสรรค์ อย่างที่ บารัก โอบามา ผู้นำสหรัฐฯคนใหม่เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง หรือ Change ในการเมืองสหรัฐฯ
นายกฯอภิสิทธิ์พูดอีกว่า รัฐบาลมีแนวทางในการสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง ด้วยการให้ความเป็นธรรม ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าอยู่ในสังคมได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะมีความคิดเห็นทางการเมืองอย่างไร การบังคับใช้กฎหมายต้องเป็นไปด้วยความเสมอภาค คดีความต่างๆต้องว่ากันอย่างตรงไปตรงมา
ผมก็เห็นด้วยอีก ความยุติธรรมจะเกิดขึ้นได้ คนทุกคนในสังคมจะต้องเท่าเทียมกัน มีความเสมอภาคในทางกฎหมายเท่าเทียมกัน
ไม่ใช่นักการเมืองถูกดำเนินคดีทุจริต ก็เอาสีข้างเข้าถูว่าถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง ต้องเสนอกฎหมายให้นิรโทษกรรมหมด ทำให้นักการเมืองย่ามใจ สุดท้ายก็คงไปถึงขั้นแก้กฎหมายปราบคอรัปชัน ไฟเขียวให้แกล้งโง่ด้วยความสุจริต แล้วคอรัปชันกันบานเบิกเหมือน “ค่าโง่” ไม่รู้กี่คดี
ถ้ารัฐมนตรีและนักการเมืองไม่เชื่อมั่นใน กฎหมาย และ ศาลยุติธรรม แล้วใครจะเป็นผู้ตัดสินว่าใครถูกผิด ให้นักการเมืองเป็นผู้ตัดสินหรือ บ้านเมืองล่มจมแน่นอน เมืองไทยที่ล่มจมอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะนักการเมืองหรอกหรือ
ผมเขียนถึงการเปลี่ยนแปลงของ นายกฯอภิสิทธิ์ ในครั้งนี้ เพราะรู้สึกชื่นชมใน “ขันติความอดทน” และ “ความคิดชอบ” ของ นายกฯอภิสิทธิ์ ที่ประกาศไม่ตอบโต้การกล่าวร้ายทางการเมืองของฝ่ายตรงกันข้ามทุกประการ จะมุ่งหน้าทำงานเพื่อสร้างความสมานฉันท์ในบ้านเมือง และใช้สื่อของรัฐในการรายงานให้ประชาชนทราบ บ้านเมืองจะได้สงบ
ปล่อยให้อีกฝ่ายตบมือไปข้างเดียว
ตบไปก็เจอแต่อากาศธาตุไม่มีเสียงดังเกิดขึ้น
จะให้ดีมากกว่านี้ ถ้า นายกฯอภิสิทธิ์ ควรสั่งให้ สารพัดโฆษกของรัฐบาล แถลงข่าวในเชิงสร้างสรรค์ อย่าใช้วิชามารสู้กับวิชามาร มีแต่เพิ่มความเลวร้ายขึ้นในสังคม เพราะ สังคมจะเสพติดกับความชั่วร้ายของวิชามาร จนมองเห็นความชั่วร้ายเป็นเรื่องธรรมดาไป เหมือนกับที่ ประชาชนรู้สึกกับการคอรัปชัน ของนักการเมือง และข้าราชการใน
เวลานี้ว่า เป็นเรื่องธรรมดา โกงกินไม่เป็นไร
เราจะสะสมสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้เพิ่มขึ้นในสังคมไทยหรือ
เมื่อ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เริ่ม “คิดดี” แล้ว ก็น่าจะสั่งให้ลูกพรรคคิดและทำไปในทางที่ดีด้วย สังคมส่วนรวมจะได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จะได้รู้ว่า อะไรคือความชั่ว ความไม่ดี และ อะไรคือความดี จะได้แยกแยะออก ดีกว่าลงไปร่วมตะลุมบอนด้วย จนแยกไม่ออกว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนชั่ว.
“ลม เปลี่ยนทิศ”